
สรุปข่าว
นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับมิติด้าน “อุปทาน” แล้ว วันนี้ผมจะพาไปเจาะความพยายามของภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องในการผสมผสานการกระตุ้นด้าน “อุปสงค์” เพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนา EVs ของจีนควบคู่กันไปครับ ...
เราต้องยอมรับว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้แสดง “บทบาทนำ” ในด้านอุปสงค์ โดยรัฐบาลจีนได้คลอดมาตรการกระตุ้นการซื้อหา EVs ออกมามากมาย
โดยที่การสร้างอุปสงค์ดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตมีรายได้เพื่อการปรับปรุงคุณภาพ และคนจีน “กล้าเสี่ยง” ซื้อหา EVs มาทดลองใช้ในระยะแรก
จีนจึงเริ่มให้เงินอุดหนุนผ่านผู้ผลิต EVs ครั้งแรกเมื่อปี 2009 ซึ่งนำไปสู่ยอดขายรถโดยสาร แท็กซี่ และรถยนต์นั่งรวมราว 500 คันในปีดังกล่าว
มาตรการดังกล่าวถูกลากยาวอย่างต่อเนื่อง โดยในระหว่างปี 2009-2022 รัฐบาลจีนได้อัดเม็ดเงินอุดหนุนและภาษีรวมกว่า 200,000 ล้านหยวน ส่งผลให้ตลาด EVs “จุดติด” เกิดเป็น “กระแสความนิยม” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EVs ได้ครองตลาดรถยนต์ขนาดเล็กในเมืองใหญ่ของจีนไว้ได้เกือบทั้งหมดแล้ว

โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่าย EVs ในจีนเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคันเป็นถึง 6.8 ล้านคัน และในจำนวนนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขาย EVs โดยรวมของโลก ส่งผลให้จีนเป็นตลาด EVs ที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 8 ทิ้ง
ห่างตลาดสหรัฐฯ ที่มียอดขายเพียง 800,000 คันแบบไม่เห็นฝุ่น
ท่านผู้อ่านที่เดินทางไปจีนในยุคหลังโควิด ก็อาจสังเกตเห็น EVs ที่ใช้ป้ายทะเบียน “สีขาว-เขียว” วิ่งเกลื่อนเมืองใหญ่และเมืองรองทั่วจีนในระยะหลัง
อันที่จริง ในอดีต “เงินอุดหนุน” ถือเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ประกอบการตัดสินใจซื้อ EVs ของผู้บริโภค แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยดังกล่าวก็มีความสำคัญน้อยลงโดยลำดับ
รัฐบาลจีนปรับลดระดับของการอุดหนุนนับแต่ปี 2019 และผูกกับเงื่อนไขเฉพาะด้านเทคนิคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินอุดหนุนมิได้เป็น “ปัจจัยแรก” ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออีกต่อไป
รัฐบาลจีนใช้เงื่อนไขด้านเทคนิคเหล่านี้ในการกดดันให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมในเชิงคุณภาพ โดยในปี 2022 EVs ที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพื่อขอรับเงินอุดหนุนต้องวิ่งได้ไกล (ต่อการชาร์ตเต็ม) 300 กิโลเมตรขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 80 กิโลเมตรเมื่อปี 2013
นอกจากนี้ EVs ที่สามารถวิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้นยังมีสิทธิ์ขอรับเงินอุดหนุนในระดับที่สูงขึ้น มาตรการดังกล่าวช่วยกระตุ้นให้เกิดการยกระดับของอุตสาหกรรม EVs ในด้านหนึ่ง และทำให้การพัฒนา EVs รุ่นใหม่อยู่บนพื้นฐานของความต้องการของผู้บริโภคในอีกด้านหนึ่ง
หลายผลการวิจัยค้นพบว่า ในการซื้อรถยนต์คันถัดไป กว่า 50% ของผู้บริโภคจีนเล็งซื้อ EVs มาใช้ สูงกว่าของประเทศใดในโลก และสูงกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งสะท้อนว่า ตลาด EVs ในจีนเปี่ยมด้วยศักยภาพทางธุรกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ดี มาตรการอุดหนุนดังกล่าวได้สิ้นสุดลงไปเมื่อปลายปี 2022 กอปรกับสัญญาณเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2023 ทำให้ยอดขาย EVs ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ไม่เติบโตแรงดังเช่นในอดีต และอาจส่อเค้าว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
รัฐบาลจีนไม่อยากเห็นการ “แผ่วปลาย” ของตลาด EVs จีนเกิดขึ้นในห้วงปีแรกของวาระที่ 3 ของผู้นำจีน และวาระแรกของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “ป้ายแดง”
ในครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม 2023 รัฐบาลจีนก็ได้ประกาศออกมาตรการกระตุ้นการซื้อหารถยนต์ระลอกใหม่ โดยให้ความสำคัญกับ EVs เพื่อช่วยขยายการบริโภคภายในประเทศและพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวไปพร้อมกัน

อีกมาตรการหนึ่งก็ได้แก่ การให้หน่วยงานภาครัฐ “นำร่อง” จัดซื้อ EVs มาเริ่มใช้ก่อน โดยนอกจากเป็นการสร้างอุปสงค์จำนวนมากในระยะแรกแล้ว ยังเป็นเสมือน “หนูทดลอง” ที่รวบรวมข้อมูลการใช้งานได้อย่างเป็นระบบและเป็นแหล่งรายได้ที่ไว้วางใจได้
มาตรการนี้ยังช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในเวลาต่อมา เช่น การให้บริการขนส่งมวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจ ใช้รถบัสและรถแท๊กซี่ EVs
ผู้ผลิตบางรายยังร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นในเชิงรุกเพื่อเพิ่มอุปสงค์ อาทิ BYD เผชิญกับแรงกดดันจาก Tesla ด้วยการจับมือกับรัฐบาลเซินเจิ้น เปลี่ยนไปใช้รถประจำทาง สาธารณะ EVs ทั้งระบบเป็นเมืองแรกในโลก ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ในการเป็น “เมืองสีเขียว” อีกด้วย
ใครไปเยือนเซี่ยงไฮ้ในช่วงหลังก็จะสังเกตเห็นรถแท็กซี่ของเฉียงเฉิง (Qiang Sheng) และฝ่าหลานหง (Falanhong) ที่เปลี่ยนมาเป็น EVs ของ SAIC Motor ยี่ห้อ Roewe (โรเวอร์) ในสีเขียวสดใส และหลากสี ตามลำดับ วิ่งให้บริการเกลื่อนเมือง
แม้กระทั่งรถประจำทางในเมืองและเรือที่ให้บริการในซูโจวครีกก็หันมาใช้ระบบพลังงานไฟฟ้ากันหมดแล้ว ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นในอีกหลายหัวเมืองในจีนในปัจจุบัน
อีกมาตรการที่ “โดนใจ” ชาวจีนในเมืองใหญ่ อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และหังโจว แบบสุดๆ ก็ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อ EVs ได้รับป้ายทะเบียนรถยนต์ทันทีโดยไม่ต้องรอคิว หรือจับฉลากวัดดวงในแต่ละเดือน และยังได้รับการยกเว้นค่าป้ายทะเบียนที่มีมูลค่าหลายหมื่นหยวนอีกด้วย
นอกจากนี้ ในยุคแรกๆ ของการพัฒนาตลาด รัฐบาลของหลายหัวเมืองก็ยังให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่ผู้ใช้ EVs อาทิ การลดค่าประกันภัยสูงถึง 50% และการยกเว้นค่าผ่านทางด่วน
รัฐบาลจีนยังพยายามกระตุ้นให้เกิดแนวคิดในโมเดลธุรกิจและการเตรียมความพร้อมในการขยายสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดเช่าซื้อ เศรษฐกิจแบ่งปัน และตลาดต่างประเทศ นั่นหมายความว่า ภายใต้ทศวรรษของการพัฒนาอุตสาหกรรม EVs จีนกำลังเปลี่ยนเป้าประสงค์ของ “การลดการนำเข้า” รถยนต์และพลังงาน ไปสู่ “การขยายการส่งออก” ในระยะยาว
จากสถิติการค้าระหว่างประเทศ ในปี 2022 จีนส่งออก EVs ถึง 679,000 คัน ขยายตัวถึง 120% ของปีก่อน

เพื่อความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในระยะยาว บางแบรนด์ของจีนอาจจำเป็นต้องปรับภาษาและกลยุทธ์ทางการตลาด มาตรฐานด้านเทคนิค และบริการซอฟท์แวร์ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภค บริการหลังการขาย และอื่นๆ ที่แตกต่างกัน
ประการสำคัญ ภายใต้สถานการณ์ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่ถาโถมเข้ามา EVs และสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องของจีนก็อาจถูกกีดกันทางการค้า เพราะรัฐบาลที่มีจุดยืนที่ต่างขั้วจากจีนอาจมองว่าการเข้ามาของแบรนด์จีนจะเพิ่มระดับความเสี่ยงด้านความมั่นคง และอื่นๆ
ตลาดของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียจึงถูกมองว่ามีศักยภาพทางธุรกิจที่สูง ประเทศเหล่านี้ต้องการ EVs เพื่อการปรับโครงสร้างการใช้พลังงานและการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาวที่ถึงตอนนั้นตลาดจีนอาจอิ่มตัวไปแล้วก็ตาม
จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเห็นแบรนด์ EVs จีนต่างทยอยออกไปลงทุนในภูมิภาคเอเซียกันเป็นแถว อาทิ อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย
กำลังออกรสออกชาติเลย แต่พื้นที่ของผมหมดแล้ว ไว้คุยกันต่อในตอนหน้าครับ ...
ภาพจาก รอยเตอร์
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand