
หลังจากต้องติดตามข่าวเกี่ยวกับสงครามการค้า 2.0 อย่างไม่เว้นแต่ละวัน ผมก็คิดว่าท่านผู้อ่านคงเริ่มเบื่อหน่ายเหมือนกับผม และนึกอยากเห็นการยุติลงของสงครามการค้า หรือหากทั้งสองมหาอำนาจสู้กันไปยืดเยื้อยาวนาน หลายท่านก็คงอยากกระโดดข้ามเวลาไปดูภาคจบเลยก็มี
ช่วงหลัง ผมก็เลยหันไปหาประเด็นที่สดใหม่และน่าสนใจมาอ่านดูบ้าง และเรื่องหนึ่งที่ไปเจอก็คือ การผลักดัน “กลยุทธ์ใหม่” เพื่อเร่งพลิกฟื้นและสร้างความมีชีวิตชีวาในพื้นที่ชนบทให้เกิดเป็นรูปธรรม
ผมเห็นว่า จีนเองก็เผชิญกับปัญหาและความท้าทายในหลายส่วนคล้ายกับที่ไทยประสบอยู่ จึงเกิดคำถามสงสัยว่าจีนแก้ไขปัญหาและพลิกฟื้นสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร และมีกรณีศึกษาใดที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้บ้าง ...
การพัฒนาพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรมถือเป็นเรื่องใหญ่ที่พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์และการแถลงนโยบายรัฐบาล เรื่องนี้ถูกบรรจุเป็นเอกสารหมายเลข 1 มาโดยตลอด
แต่โดยที่นับแต่เปิดประเทศสู่โลกภายนอก ภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบใหญ่และมีบทบาทต่อเศรษฐกิจมหภาคก่อน ทำให้คนจีนในพื้นที่ชนบทละทิ้งถิ่นฐานเข้าไปทำงานในภาคการผลิตในเมือง และไหลต่อไปยังภาคบริการในเวลาต่อมา เรากำลังพูดถึงจำนวนคนราว 4 เท่าของจำนวนประชากรของไทยเลยทีเดียว
สี จิ้นผิง ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ชนบทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ท่านผู้นำจีนได้เข้าไปร่วมประชุมแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นในเรื่องนี้ผ่านเวทีการประชุมสำคัญของพรรคฯ ในหลายพื้นที่
สรุปข่าว
หลังจากต้องติดตามข่าวเกี่ยวกับสงครามการค้า 2.0 อย่างไม่เว้นแต่ละวัน ผมก็คิดว่าท่านผู้อ่านคงเริ่มเบื่อหน่ายเหมือนกับผม และนึกอยากเห็นการยุติลงของสงครามการค้า หรือหากทั้งสองมหาอำนาจสู้กันไปยืดเยื้อยาวนาน หลายท่านก็คงอยากกระโดดข้ามเวลาไปดูภาคจบเลยก็มี
ช่วงหลัง ผมก็เลยหันไปหาประเด็นที่สดใหม่และน่าสนใจมาอ่านดูบ้าง และเรื่องหนึ่งที่ไปเจอก็คือ การผลักดัน “กลยุทธ์ใหม่” เพื่อเร่งพลิกฟื้นและสร้างความมีชีวิตชีวาในพื้นที่ชนบทให้เกิดเป็นรูปธรรม
ผมเห็นว่า จีนเองก็เผชิญกับปัญหาและความท้าทายในหลายส่วนคล้ายกับที่ไทยประสบอยู่ จึงเกิดคำถามสงสัยว่าจีนแก้ไขปัญหาและพลิกฟื้นสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร และมีกรณีศึกษาใดที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้บ้าง ...
การพัฒนาพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรมถือเป็นเรื่องใหญ่ที่พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์และการแถลงนโยบายรัฐบาล เรื่องนี้ถูกบรรจุเป็นเอกสารหมายเลข 1 มาโดยตลอด
แต่โดยที่นับแต่เปิดประเทศสู่โลกภายนอก ภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบใหญ่และมีบทบาทต่อเศรษฐกิจมหภาคก่อน ทำให้คนจีนในพื้นที่ชนบทละทิ้งถิ่นฐานเข้าไปทำงานในภาคการผลิตในเมือง และไหลต่อไปยังภาคบริการในเวลาต่อมา เรากำลังพูดถึงจำนวนคนราว 4 เท่าของจำนวนประชากรของไทยเลยทีเดียว
สี จิ้นผิง ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ชนบทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ท่านผู้นำจีนได้เข้าไปร่วมประชุมแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นในเรื่องนี้ผ่านเวทีการประชุมสำคัญของพรรคฯ ในหลายพื้นที่
ปรากฏการณ์ดังกล่าวชัดเจนขึ้นโดยลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายวาระที่ 2 ของการดำรงตำแหน่งผู้นำจีนของสี จิ้นผิง จีนก็ประกาศแคมเปญที่รู้จักกันในนาม “การสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับพื้นที่ชนบท” (Rural Revitalization) ที่ถูกใช้เป็น “นโยบายใหม่” ในการพลิกฟื้นและผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในยุคหน้า
แน่นอนว่า แคมเปญดังกล่าว “โดนใจ” เกษตรกรและคนจีนหลายร้อยล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท จนนำไปสู่กระแสความนิยมในตัวของสี จิ้นผิง ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ และมีส่วนสำคัญที่ทำให้การต่อเทอม 3 เป็นไปอย่างราบรื่น
ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งในวาระที่ 3 อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2023 สี จิ้นผิงก็ผลักดันนโยบายดังกล่าวตามที่ประกาศไว้ด้วยการเปิดตัว “แผนการสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับพื้นที่ชนบทปี 2024-2027” ในเวลาต่อมา
แผนฯ ดังกล่าวมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบท เพิ่มผลิตภาพด้านการเกษตร และส่งเสริมการพัฒนาระหว่างชุมชนเมือง-ชนบทให้มีความสมดุลมากขึ้น
หรืออาจกล่าวได้ว่า แผนฯ นี้ให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาคุณภาพสูง” อย่างรอบด้าน “การยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่” เพื่อ “ต่อยอด” ความสำเร็จในการเอาชนะปัญหาความยากจนที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้ และ “ป้องกัน” มิให้คนจีนกลับไปสู่ฐานะยากจนอีกครั้ง และมุ่งสู่ “การลดความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างชุมชนเมืองและชนบท
เราจึงเห็นการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความทันสมัยในพื้นที่ชนบทในหลายส่วน อาทิ การทำฟาร์มออแกนิกส์และเกษตรมาตรฐานสูง/เกษตรแปลงใหญ่ (เพิ่มเครื่องจักรเครื่องมือขนาดใหญ่และระบบชลประทาน) การทำเกษตรอัจฉริยะ (นำเครื่องมือและอุปกรณ์อัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิตัลมาช่วยเพิ่มผลิตภาพ) และการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
รวมไปถึงการสร้างช่องทางจัดจำหน่ายสินค้ารูปแบบใหม่ อาทิ อี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce) ผ่านหมู่บ้านดิจิตัล (Digital Villages) การส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านการเกษตร (Agri-Tourism) และการพัฒนาพลังงานสีเขียว (Green Energy)
การทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทอันกว้างใหญ่ไพศาลและเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายร้อยล้านคนของจีนอย่างเป็นรูปธรรมในเวลาอันสั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ต้องอาศัยความทุ่มเทและทรัพยากรมากมาย รวมไปถึงความจริงจังและความสร้างสรรค์ในการดำเนินงานที่ครอบคลุมอย่างรอบด้านทั้งระบบนิเวศน์
ความท้าทายดังกล่าวดูจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อจีนพยายามดึงเอาคนหนุ่มสาวจากในเมืองกลับสู่พื้นที่ชนบท ในด้านหนึ่ง คนหนุ่มสาวเหล่านี้อาจมาพร้อมกับความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ ในอีกด้านหนึ่ง คนเหล่านี้ก็อาจคุ้นชินกับความสะดวกสบายของโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชนเมือง
จีนจึงวางแผนที่จะสร้าง “หมู่บ้านน่าอยู่” ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โครงข่ายถนน และระบบสื่อสาร 4G-5G ตลอดจนแหล่งผลิตพลังงานสะอาด เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ในพื้นที่ชนบท
ประเด็นนี้มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย รัฐบาลจีนตระหนักดีว่า ช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการจัดจำหน่ายผ่านอีคอมเมิร์ซเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนาโอกาสทางธุรกิจ เพราะในทางปฏิบัติ สินค้าเกษตรในพื้นที่ชนบทก็ต้องถูกจัดส่งไปถึงมือผู้บริโภคในชุมชนเมืองและต่างประเทศ
เพื่อประโยชน์ในวงกว้างอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลจีนจึงไม่เพียงให้ความสำคัญลงทุนก่อสร้างและพัฒนาโครงข่ายถนน รถไฟความเร็วสูง การสื่อสาร และสภาพแวดล้อมภายในพื้นที่ชนบทเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงโครงข่ายการขนส่งและสื่อสารที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองและชนบทควบคู่ไปด้วย
อย่างที่เรียนไปว่าหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญก็ได้แก่ การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวและกำลังซื้อจากในเมืองมาสู่ชนบท การเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วก็นับเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การท่องเที่ยวในพื้นที่ชนบทมีความน่าสนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ “จริต” ของนักท่องเที่ยวในยุคหลังที่ขยายกรอบจากพฤติกรรม “ชิมและช้อป” ไปครอบคลุม “แช๊ะแล้วแชร์” และยังต้องการเกาะติดกับเครือข่ายอย่างใกล้ชิดแทบตลอดเวลา ก็ทำให้การมีบริการ “เครื่องแต่งกาย” ในวัฒนธรรมท้องถิ่น และมุมถ่ายภาพสวยๆ ที่แปลกตา พร้อมกับระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ชนบทเป็น “เสน่ห์” ที่คนรุ่นใหม่ชวนหลงใหล
นี่เองที่ทำให้รัฐบาลจีนเกิดช่องทางในการ “รักษา สืบสาน และต่อยอด” วัฒนธรรมท้องถิ่นเอาไว้ และเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองได้มีโอกาสสัมผัส บางพื้นที่ถึงขนาด “ว่าจ้าง” ให้คนท้องถิ่นแต่งหน้า ทำผม และสวมใส่เสื้อผ้าที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมท้องถิ่นเลยก็มี ประการสำคัญ การดำเนินการดังกล่าวยังช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดขึ้นในหมู่คนในชนบทอีกด้วย
เราไปคุยกันต่อตอนหน้าว่า รัฐบาลจีนออกมาตรการอะไรอีกบ้างเพื่อดึงดูด “มังกรน้อย” กลับสู่พื้นที่ในชนบท ...
ที่มาข้อมูล : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
ที่มารูปภาพ : AFP