เมื่อจีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทค (ตอน 1)

Share on Line Share on Facebook Share on X
เมื่อจีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทค  (ตอน 1)

เล็ก เบา บาง เหนียว แข็ง และอื่นๆ ยิ่งกว่า กลายเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมการผลิตของโลกกำลังถวิลหา ทั้งนี้ ในช่วงหลายสิบที่ผ่านมา โลกหันมาให้ความสำคัญกับ “นาโนเทคโนโลยี” (Nanotechnology) ที่เป็นกระบวนการที่ผสมผสานความก้าวหน้าด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และวัสดุศาสตร์เข้าด้วยกัน มากขึ้นโดยลำดับ 

จีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสนใจกับการพัฒนาเรื่องนี้ทั้งระบบนิเวศ และอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทคอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเห็นได้จากความก้าวหน้าด้านการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ จีนทำได้อย่างไร เราตามไปส่องกัน ...

สรุปข่าว

จีนกำหนดให้ นาโนเทคโนโลยี เป็นยุทธศาสตร์หลักมาตั้งแต่ปี 1986 ผ่านโครงการใหญ่ เช่น โครงการ 863 และ 973 รวมถึงการจัดตั้ง ศูนย์นาโนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NCNS) และกำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Made in China 2025

เล็ก เบา บาง เหนียว แข็ง และอื่นๆ ยิ่งกว่า กลายเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมการผลิตของโลกกำลังถวิลหา ทั้งนี้ ในช่วงหลายสิบที่ผ่านมา โลกหันมาให้ความสำคัญกับ “นาโนเทคโนโลยี” (Nanotechnology) ที่เป็นกระบวนการที่ผสมผสานความก้าวหน้าด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และวัสดุศาสตร์เข้าด้วยกัน มากขึ้นโดยลำดับ 

จีนก็เป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสนใจกับการพัฒนาเรื่องนี้ทั้งระบบนิเวศ และอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกด้านนาโนเทคอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเห็นได้จากความก้าวหน้าด้านการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ จีนทำได้อย่างไร เราตามไปส่องกัน ...

ประการแรก ความก้าวหน้าด้านสิทธิบัตรและนวัตกรรม ย้อนกลับไปในยุคเปิดประเทศสู่โลกภายนอก รัฐบาลจีนภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง ได้กำหนดกรอบยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาจีน “4 ทันสมัย” (4 Modernizations) ซึ่ง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” นับเป็น 1 ใน 4 ของความทันสมัยเพื่อปูพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลังจากนั้น เราก็เห็นจีนดำเนินโครงการใหม่ๆ มากมาย อาทิ “โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งชาติ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โครงการ 863” (เริ่มต้นเดือนมีนาคม 1986) ซึ่งนำไปสู่แผนการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง (Hi-Tech Development Plan) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวัสดุใหม่และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง และยกระดับความสามารถด้านเทคโนโลยีระดับสูงของจีน 

ผมขอเรียนก่อนว่า ในยุคก่อนเปิดประเทศสู่ภายนอก จีนอาจมีประสบการณ์เชิงลบกับการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหภาพโซเวียตในระดับที่สูง จึงมีความคิดที่อยากจะปูพื้นฐานและพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงของตนเองเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิตในระยะยาว โดยในระหว่างปี 1990-2002 โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนโครงการนาโนเทคมากกว่า 1,000 โครงการ 

ภายหลังความสำเร็จของโครงการ 863 จีนก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “การวิจัยขั้นพื้นฐาน” มากขึ้นผ่าน “โครงการวิจัยขั้นพื้นฐานแห่งชาติ” (National Basic Research Program) หรือ “โครงการ 973” (เริ่มเมื่อเดือนมีนาคม 1997) 

และตามมาด้วยการจัดตั้ง “ศูนย์นาโนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ” (National Center for NanoScience and Technology) ขึ้นเป็นสถาบันวิจัยขั้นพื้นฐานและเชิงประยุกต์ด้านนาโนเทคเมื่อปลายปี 2003 ในย่านไฮเทคพาร์กจงกวนชุน (Zhongguancun Hi-Tech Park) ณ กรุงปักกิ่ง และองค์กรเฉพาะทางเพื่อช่วยวางแผนและดำเนินการด้านวิชาการและการส่งเสริมอุตสาหกรรมนาโนเทค โดยเฉพาอย่างยิ่งคณะกรรมการกำกับด้านวิทยาศาสตร์และนาโนเทคแห่งชาติ (National Steering Committee for NanoScience and NanoTech)

ภายหลังการดำเนินการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง นาโนเทคก็กลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ดังจะเห็นได้จากการบรรจุในแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะกลางและระยะยาวแห่งชาติของจีน (2006-2020) 

ประการสำคัญ ในปี 2015 รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ “วัสดุใหม่” (New Materials) เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้นโยบาย Made in China 2025 มณฑลเจียงซู เจ้อเจียง และกวางตุ้งกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมนาโนเทคที่สำคัญของจีนในปัจจุบัน

โดยหนึ่งในโครงการใหญ่ได้แก่ การลงทุนจัดตั้ง “สถาบันนาโนเทคโนโลยีและนาโนไบโอนิกส์แห่งซูโจว” (Suzhou Institute of Nano-Tech and Nano-Bionics)

SINANO อยู่ภายใต้สถาบันวิทยาศาสตร์จีน (China Academy of Sciences) ที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยแบบสหวิทยาการด้านอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ และวัสดุศาสตร์ใน “นาโนโพลิส” (NanoPolis) ซึ่งจัดเป็นเขตอุตสาหกรรมนาโนเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ซูโจว มณฑลเจียงซู 

ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสรรพและล้ำสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Vacuum Interconnected Nanotech Workstation “Nano-X” ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมการเติบโตของวัสดุ การผลิตอุปกรณ์และลักษณะภายใต้สภาพแวดล้อมสูญญากาศสูงพิเศษ (Ultra-High Vacuum) ซึ่งช่วยป้องกันการปนเปื้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยนาโนวิทย์และนาโนเทค ส่งผลให้ซูโจวได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งนาโนเทคของจีน” ในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2000-2025 จีนได้จดสิทธิบัตรด้านนาโนเทคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2025 จีนครองสัดส่วนคิดเป็นถึง 43% ของจำนวนสิทธิบัตรนาโนเทคโดยรวมของโลก โดยมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติจำนวนราว 464,000 ฉบับจากทั้งหมด 1.07 ล้านฉบับ จำนวนดังกล่าวสูงกว่าผลรวมของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก 

ทั้งนี้ สิทธิบัตรของจีนมุ่งเน้นไปในด้านหลักๆ ได้แก่ อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ชีวการแพทย์ และเคมีเร่งปฏิกิริยา รวมทั้งวัสดุใหม่

โดย CAS ถือเป็นองค์กรชั้นนำที่ถือจำนวนสิทธิบัตรในด้านนี้ที่มากสุดในโลกที่ราว 23,400 ฉบับ และยังมีสถาบันเฉพาะทางภายใต้ CAS ราว 20 แห่ง และมหาวิทยาลัยกว่า 50 แห่งที่เป็นกลไกสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม 

อาทิ ศูนย์วิจัยด้านวิศวกรรมศาสตร์สำหรับนาโนเทคแห่งชาติ (National Engineering Research Center for Nanotech) ในนครเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยชิงฮวา (Tsinghua University) ผู้นำด้านวิศวกรรมศาสตร์ ณ กรุงปักกิ่ง และ Soochow University สถาบันการศึกษาเก่าแก่ ณ เมืองซูโจว 

ประการที่ 2 การขยายตัวของอุตสาหกรรมและตลาด นับแต่ปี 2000 อุตสาหกรรมนาโนเทคของจีนเติบโตในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง จำนวนกิจการนาโนเทคของจีนเพิ่มขึ้นจาก 3,015 แห่งในปี 2000 เป็นราว 35,000 แห่งในช่วงกลางปี 2025 เติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว โดยในจำนวนนี้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ราว 740 แห่ง 

นอกจากโครงการ 863 และโครงการ 973 ดังกล่าวที่นำไปสู่การพัฒนานักวิจัยขั้นสูงจำนวนมากแล้ว จีนก็ยังดำเนินนโยบายดึงดูด “บุคลากรคุณภาพสูง” ด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสม อาทิ นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน “จีนโพ้นทะเล” และต่างชาติที่ได้รับการฝึกอบรมจากต่างประเทศ พร้อมกับเงินทุนวิจัย และการผลิตเครื่องมือและเทคนิคการวิจัยที่ทันสมัย 

เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าด้านนาโนเทค และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในจีนไปพร้อมกัน โดยในระหว่างปี 2000-2025 อุตสาหกรรมนาโนเทคของจีนเพิ่มการจ้างงานคุณภาพสูงเกือบ 2 เท่าตัว จาก 5 ล้านอัตราเป็นเกือบ 10 ล้านอัตรา และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...

ที่มาข้อมูล : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

ที่มารูปภาพ : Getty Images