Bitcoin ซื้อเพื่อถือ Ethereum ซื้อเพื่อใช้ Velocity Crypto บอกอะไรเราบ้าง?

Bitcoin ซื้อเพื่อถือ Ethereum ซื้อเพื่อใช้ Velocity Crypto บอกอะไรเราบ้าง?

สรุปข่าว

นับย้อนไปตั้งแต่ปี 2008 ที่เกิดวิกฤตที่สหรัฐ ฯ ก็ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมาก พอมาถึงปี 2020 ที่เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด 19 ก็ยิ่งมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ให้ทุกอย่างที่ดูเลวร้ายสามารถประคองตัวและผ่านไปได้ แต่ประเด็นไม่ใช่แค่จำนวนเงินเท่านั้นที่เราต้องคำนึงถึง ยังมีในส่วนของ “การหมุนเวียน” ของเงินในระบบด้วย เพราะหากเงินที่อัดฉีดเข้าในระบบตอนนั้น คนที่ได้เป็นผู้ที่ยังมีทรัพยากรอยู่ในมือเหลือเฟือ ก็จะถูกเก็บเอาไว้เฉย ๆ หรืออาจจะเอาไปเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ได้ ทำให้วัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเยอะ ๆ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนมาก ๆ ไม่เกิดขึ้นเท่าที่ควร หากใครยังไม่เห็นภาพผมขอยกอีกหนึ่งตัวอย่างครับ


Velocity of Money

สมมุติผมเปิดร้านกาแฟหนึ่งร้าน มีโต๊ะจำนวน 10 ตัว ขายกาแฟแก้วละ 100 บาท ตกแต่งร้านสวยงาม บรรยากาศดี คนชอบเข้ามานั่ง แล้วสมมุติต่อไปว่าในวันนั้น มีลูกค้า 10 ท่านเข้ามาที่ร้าน สั่งกาแฟคนละแก้ว นั่งตั้งแต่เปิด-ปิดร้าน นั่นแปลว่าร้านจะมีรายได้ดังต่อไปนี้


กาแฟ 10 แก้ว X แก้วละ 100 บาท = รายได้ 1,000 บาทก่อนหักค่าใช้จ่าย


ในวันต่อมาผมมีโต๊ะเท่าเดิมคือ 10 ตัว แต่มีลูกค้าให้ความสนใจมากขึ้น แต่มาซื้อแล้วสั่งกลับบ้าน หรือกรณีที่นั่งทานที่ร้าน ก็นั่งชั่วคราว ทำให้มี “รอบในการหมุน” เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ปรากฏว่าทั้งวันขายไปได้ 100 แก้ว


กาแฟ 100 แก้ว X แก้วละ 100 บาท = รายได้ 10,000 บาทก่อนหักค่าใช้จ่าย


จะสังเกตได้ว่าจำนวนโต๊ะที่เท่าเดิม แต่รอบสูงขึ้น รายได้ก็อาจจะมากขึ้น เปรียบเหมือนกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาจจะดีขึ้น หากมี Velocity of Money ที่เยอะขึ้นนั่นเองครับ แต่ผมอยากจะให้ดูภาพประกอบดังต่อไปนี้ครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร

Bitcoin ซื้อเพื่อถือ Ethereum ซื้อเพื่อใช้ Velocity Crypto บอกอะไรเราบ้าง? (ที่มาภาพประกอบ https://fred.stlouisfed.org/series/M2V)


ตั้งแต่ปี 2008 ที่มีการอัดฉีดสภาพคล่องที่เรียกว่า QE ทำให้จำนวนเงินในระบบสูงขึ้น แต่รอบการหมุนของนั้นกลับต่ำลงเรื่อย ๆ ในความเป็นจริงก็ต่ำลงตั้งแต่ปี 2000 และยิ่งต่ำมากในช่วงปี 2020 จนถึงปัจจุบัน ถ้าตีความแบบตรงตัวจากภาพนี้แบบว่าไม่รู้อะไรมาเลย ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเงินที่พิมพ์เพิ่มในแต่ละปีนั้น พอมาถึงมือประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เราก็ออมมากขึ้นเก็บเงินเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เงินเดือนยิ่งสูงแต่ละปีก็เก็บเงินได้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ค่อยเอามาใช้จ่าย รอบการเปลี่ยนมือจาก “คนหนึ่งสู่อีกคน” จึงน้อยลง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เลย สำหรับมนุษย์เงินเดือนคงเห็นภาพชัดเจน เพราะทันทีที่เงินเข้ามา ก็หมุนไปที่อื่นหมดแล้ว ภายในไม่กี่วัน เรียกว่ารอบจัด รอบถี่กันเลยทีเดียว

เหตุผลที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

เหตุผลมาจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิด Super Bull Run ในสินทรัพย์ทั่วโลกก็เพราะว่า เงินจากการอัดฉีดสภาพคล่องไม่ว่าจะกระจายไปทางไหนก็ตาม นายทุน ประชาชน กลุ่ม Wall Street หรือธนาคารกลางพิมพ์เงินซื้อพันธบัตรของรัฐบาลเองก็ตาม ท้ายที่สุด เงินจะวิ่งไปกองที่ใดที่หนึ่งเสมอ เช่น สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ทอง ที่ดิน คริปโท ฯ ทำให้นักลงทุนหลายคนงงมาก ว่าเศรษฐกิจก็ไม่ดี หุ้นขึ้นได้อย่าง เม็ดเงินมาจากไหน สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ นี่ก็คืออีกหนึ่งในสาเหตุ ยิ่งพิมพ์เงินเยอะมากเท่าไหร่ สินทรัพย์เสี่ยงก็มีโอกาสที่จะพอง พอง และพองโตมากกขึ้นเท่านั้น

เรามาดูอีกโลกหนึ่งอย่าง Cryptocurrency กันบ้างเพราะ Crypto ก็มี Velocity เช่นเดียวกัน

Bitcoin Velocity

ความต่างระหว่าง Bitcoin Velocity กับเงินอย่างดอลลาร์สหรัฐด้านบนคือ Fiat Currency นั้นมีค่าลดลงตลาดเวลาหรือเงินเท่าเดิมซื้อของได้น้อยลง ค่าของเงินลด รอบการหมุนก็ลด ไม่ได้แปลว่าคนอยากเก็บเงินสด แค่คือเปลี่ยนจากเงินสดไปเก็บอย่างอื่นแล้ว ไม่เอามาหมุนเวียน ใช้จ่าย จ้างงานเพิ่มแล้ว  แต่กรณีของ Bitcoin จากรูปด้านล่างบอกเราดังต่อไปนี้ครับ

Bitcoin ซื้อเพื่อถือ Ethereum ซื้อเพื่อใช้ Velocity Crypto บอกอะไรเราบ้าง?
กราฟเส้นสีฟ้าคือราคา Bitcoin ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากช่วงเดือน เมษายน 2020 - เมษายน 2021 ส่วนเส้นสีเหลืองคือ 1 Year BTC Current Supply Velocity ที่ค่อย ๆ ลดต่ำลง แปลว่านักลงทุน, นักเก็งกำไร หรือจะนิยามอย่างไรก็ตามแต่ มีมุมมองและ Action ต่อ Bitcoin ในลักษณะของการ “ซื้อและเก็บ” มากกว่าซื้อขายหรือซื้อมาใช้จ่าย ตีความง่าย ๆ ว่ารายใหญ่เลือกที่จะมองยาวต่อสินทรัพย์ชนิดนี้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ใครที่ตามข่าวเรื่อง Cryptocurrency จะเห็นข่าวการเข้ามาขององค์กรขนาดใหญ่ สถาบันการเงิน นักลงทุนแบบ Big Player ในช่วง 1-2 ปีนี้ออกมามากขึ้น และคนเหล่านี้ก็ Action ตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อและวิเคราะห์มาแล้ว

Ethereum Velocity

อีกหนึ่งเหรียญที่ Market Cap เป็นอันดับสองรองจาก BTC ก็คือ Ether ซึ่งในรายละเอียด 2 เหรียญนี้แตกต่างกันพอสมควร บางคนมองว่า Bitcoin คือ Digital Gold, Digital Currency, Store of Value , Internet of Money แต่ Ether นั้นคนจะพูดถึงในมุมของ Utility พูดถึงการนำเหรียญนี้ไปใช้ การต่อยอดจาก Ethereum หรือบางคนมองว่ามันคือ Internet of Value เพราะเราสามารถสร้างกิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นบน Ethereum ได้ ที่กำลังเป็นกระคือโลกของ Decentralized Finance (DeFi) มันคือการรวมตัวของเทคโนโลยี การมาของบล็อกเชน และ Smart Contract ที่ตอนนั้นเริ่มต้นในลักษณะ Financial Contract ต่อวันหนึ่งคิดว่าน่าจะไปในอุตสาหกรรมอื่นด้วย 

Bitcoin ซื้อเพื่อถือ Ethereum ซื้อเพื่อใช้ Velocity Crypto บอกอะไรเราบ้าง?


จากภาพเส้นสีแดงคือราคา Ether ตั้งแต่ เมษายน 2020 - เมษายน 2021 ส่วนเส้นสีฟ้าคือ 1 Year ETH Current Supply Velocity จะสังเกตเห็นว่ารอบการหมุนนั้นคนละเรื่องกับ Bitcoin เลย Ether มีรอบการหมุนที่สูงและสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแปลว่าคนส่วนใหญ่ซื้อเหรียญนี้ “เพื่อใช้” มากกว่าเพื่อถือเหมือน Bitcoin เพราะหากมีแอปพลิเคชันที่สร้างบนฐานของ Ethereum หรือมีคนต้องการรันแอปพลิเคชั่น รัน Smart Contract โยกเข้าไปวางในระบบ DeFi หรือเอาไปจ่ายค่าธรรมเนียมในการซื้อ NFT ก็แล้วแต่ ราคา Ether และ Velocity ก็จะเพิ่มสูงขึ้น พูดง่าย ๆ คือคนนิยมคนยอมรับมากยิ่งขึ้น


วัตถุประสงค์ต่างกัน มุมมองต่างกัน ก็ควรวิเคราะห์ต่างกัน

กล่าวโดยสรุปก็คือ ทั้งเงิน Fiat Currency, Bitcoin, Ethereum วัตถุประสงค์ ที่มาที่ไป หรือมุมมองที่คนส่วนใหญ่ “ตีความ” แตกต่างกัน นั้นทำให้เวลาเราจะวิเคราะห์โอกาสของมันในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ควรคำนึงถึงปัจจัยที่แตกต่างกัน ถ้าเราหยิบเครื่องมือ ปัจจัยที่เอามาวิเคราะห์ก็ผิด ผลลัพธ์ที่ได้ก็ผิดเช่นกันครับ 


ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand

แท็กบทความ