
สรุปข่าว
วันนี้ ( 17 มี.ค. 65 )ศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช รายงานผลวิจัยการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) สำหรับผู้ป่วยโควิด ที่มีอาการเล็กน้อยหรือปานกลาง เปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ วันละ 2 ครั้ง ขนาด 1,800 มิลลิกรัม/โดส ในวัน แรก และ 800 มิลลิกรัม/โดส ในวันต่อมา จำนวน 62 ราย
2.กลุ่มควบคุม จำนวน 31 ราย โดยประเมินผลการรักษาจาก NEWS ตามมาตรฐานสากล ซึ่งดูจากอุณหภูมิ อัตราการหายใจ การเต้นของ หัวใจ ความดันโลหิต ภาวะออกซิเจนในร่างกาย
สำหรับผลการศึกษา เมื่อผู้ป่วยเริ่มยาเฉลี่ย 1.7 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ แล้วประเมินอาการในช่วงรักษา 14 วัน พบว่า กลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้น 79% ขณะที่กลุ่มควบคุมมีอาการดีขึ้นแค่ 32.3%
โดยครึ่งหนึ่งของผู้ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ของการรักษา ส่วนจํานวนไวรัสในผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ลดลงไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม แต่เมื่อวันที่ 13 และวันที่ 28 ของการรักษา จะพบว่ากลุ่มที่ได้ยาฟาวิพิราเวียร์จะมีปริมาณไวรัสต่ำกว่า กรณีผลข้างเคียง พบระดับกรดยูริคในผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม และไม่พบอาการข้างเคียงอื่นที่แตกต่างกัน

ภาพจาก : AFP
- โควิด NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์หลักในไทยแล้ว มีแนวโน้มมากขึ้น
- วัคซีนโควิด-19 ไม่ถูกถอดจากรายชื่อวัคซีนแนะนำในสหรัฐฯ
- โควิด-19 ระบาดหลายภูมิภาค! "สายพันธุ์ NB.1.8.1" แพร่กระจายเร็ว อย่าชะล่าใจ
- กรมวิทย์ฯ คาดโควิดสายพันธุ์ NB.1.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทยและทั่วโลก
- “หมอยง” เปิดข้อมูลโควิดสายพันธุ์ล่าสุดที่พบในกทม. ติดต่อง่าย แพร่กระจายเร็ว
- โควิดระบาด! ยอดป่วยพุ่งต่อเนื่อง สะสม 211,717 ราย ยังเป็นสายพันธุ์ JN.1
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand
