"ดาวเสาร์" ครองแชมป์ มีดวงจันทร์มากที่สุดในระบบสุริยะ หลังพบเพิ่มอีก 128 ดวง รวมมี 274 ดวง

"ดาวเสาร์" ครองแชมป์  มีดวงจันทร์มากที่สุดในระบบสุริยะ หลังพบเพิ่มอีก 128 ดวง รวมมี 274 ดวง

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเผย การค้นพบครั้งนี้นำทีมโดย Edward Ashton จาก Institute for Astronomy and Astrophysics สถาบันด้านดาราศาสตร์ที่ไต้หวัน ทีมเดียวกันกับที่ค้นพบดวงจันทร์ดวงใหม่ 64 ดวงของดาวเสาร์เมื่อปี ค.ศ. 2023 โดยครั้งนี้ทีมได้ค้นพบใหม่อีกกว่า 128 ดวง ทำให้จำนวนดวงจันทร์ของดาวเสาร์กลายเป็น 274 ดวง [1] และยังคงเป็นดาวเคราะห์ที่มีดวงจันทร์เยอะที่สุดในระบบสุริยะ ทิ้งห่างอันดับสองอย่างดาวพฤหัสบดีออกไปไกล ซึ่งมีดวงจันทร์เพียง 95 ดวง

ดวงจันทร์ดวงใหม่ที่ค้นพบทั้ง 128 ดวงนี้ อยู่ในกลุ่ม “ดวงจันทร์ที่ผิดปกติ (irregular moons)” เนื่องจากอยู่ห่างดาวเสาร์ค่อนข้างมาก และมีวงโคจรค่อนข้างรีมาก 

ย้อนกลับไปประมาณ 4 ปีที่แล้ว “Edward Ashton” ก็ได้ตีพิมพ์งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า การชนกันของดวงจันทร์ดาวเสาร์เมื่อประมาณ 100 ล้านปีที่แล้ว อาจให้เกิดกลุ่ม “ดวงจันทร์ที่ผิดปกติ” เหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งก็อาจบ่งชี้ได้ว่าดวงจันทร์ขนาดเล็กจำนวนมากของดาวเสาร์ดวงอื่น ๆ นี้ ก็อาจเคยเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่มาก่อน ก่อนที่จะถูกพุ่งชนกันเอง และแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

สรุปข่าว

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเผย พบดวงจันทร์ของดาวเสาร์เพิ่มอีก 128 ดวง รวมเป็น 274 ดวงแล้ว! ครองแชมป์มีดวงจันทร์มากสุดเป็นอันดับหนึ่งในระบบสุริยะอย่างต่อเนื่อง

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเผย การค้นพบครั้งนี้นำทีมโดย Edward Ashton จาก Institute for Astronomy and Astrophysics สถาบันด้านดาราศาสตร์ที่ไต้หวัน ทีมเดียวกันกับที่ค้นพบดวงจันทร์ดวงใหม่ 64 ดวงของดาวเสาร์เมื่อปี ค.ศ. 2023 โดยครั้งนี้ทีมได้ค้นพบใหม่อีกกว่า 128 ดวง ทำให้จำนวนดวงจันทร์ของดาวเสาร์กลายเป็น 274 ดวง [1] และยังคงเป็นดาวเคราะห์ที่มีดวงจันทร์เยอะที่สุดในระบบสุริยะ ทิ้งห่างอันดับสองอย่างดาวพฤหัสบดีออกไปไกล ซึ่งมีดวงจันทร์เพียง 95 ดวง

ดวงจันทร์ดวงใหม่ที่ค้นพบทั้ง 128 ดวงนี้ อยู่ในกลุ่ม “ดวงจันทร์ที่ผิดปกติ (irregular moons)” เนื่องจากอยู่ห่างดาวเสาร์ค่อนข้างมาก และมีวงโคจรค่อนข้างรีมาก 

ย้อนกลับไปประมาณ 4 ปีที่แล้ว “Edward Ashton” ก็ได้ตีพิมพ์งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า การชนกันของดวงจันทร์ดาวเสาร์เมื่อประมาณ 100 ล้านปีที่แล้ว อาจให้เกิดกลุ่ม “ดวงจันทร์ที่ผิดปกติ” เหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งก็อาจบ่งชี้ได้ว่าดวงจันทร์ขนาดเล็กจำนวนมากของดาวเสาร์ดวงอื่น ๆ นี้ ก็อาจเคยเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่มาก่อน ก่อนที่จะถูกพุ่งชนกันเอง และแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

อย่างไรก็ดี งานวิจัยในครั้งนี้ทำให้ Edward Ashton ต้องเปลี่ยนสมมติฐาน เนื่องจากดวงจันทร์บางกลุ่ม มีลักษณะที่กระจัดกระจายเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยกระบวนการชนกันเพียงครั้งเดียว เขาจึงเชื่อว่า กลุ่มดวงจันทร์ที่ผิดปกติเหล่านี้อาจเกิดจากการชนกันอีกหลายครั้ง ทั้งจากเศษซากของตัวเองที่กระจายออกมาชนกันเอง รวมถึงเศษซากที่กระจายออกไปชนกับดวงจันทร์ดวงอื่น ๆ ที่โคจรรอบดาวเสาร์อยู่แล้ว จึงเกิดเป็นกลุ่มของดวงจันทร์ที่ดูซับซ้อนและวุ่นวายขึ้นเช่นนี้

ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวเสาร์ที่ค้นพบในยุคแรก ๆ ตั้งชื่อตามยักษ์ไททันในเทพปกรณัมกรีกโบราณ แต่ยิ่งนานวันเข้าจำนวนดวงจันทร์ของดาวเสาร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้จำเป็นต้องใช้ชื่อเทพเจ้าในตำนานของเชื้อชาติอื่น ๆ เช่น ตำนานของชาวกอล (Gaul) ตำนานของชาวนอร์ส (Norse) และตำนานของชาวอินูอิตในแคนาดา (Canadian Inuit) และล่าสุดทั้ง 128 ดวงนี้อาจจะต้องตั้งชื่อตามตำนานเทพเจ้าของชาวไวกิ้ง (Viking) ซึ่งหากยังมีการค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านี้ ก็จะต้องหาชื่อเทพเจ้าจากตำนานของเชื้อชาติอื่น ๆ มาใช้ ไม่แน่ว่า เราอาจจะได้เห็นชื่อดวงจันทร์ดาวเสาร์เป็นชื่อในภาษาสันสกฤต สำหรับดวงจันทร์ดวงที่ 500 ของดาวเสาร์ก็เป็นได้

ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวเสาร์ได้แก่ ไททัน (Titan) ไมมัส (Mimas) และรีอา (Rhea) ต่างก็มีมวลมากพอที่จะก่อตัวเป็นรูปทรงกลมได้ แต่สำหรับดวงจันทร์ขนาดเล็กที่ค้นพบในครั้งนี้ ส่วนมากมีรูปร่างคล้ายมันฝรั่ง และไม่มีความสมมาตร คล้ายกับดวงจันทร์โฟบอส (Phobos) และดีมอส (Deimos) ของดาวอังคาร

ทั้งนี้ เปเปอร์งานวิจัยยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงการเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ arXiv [1] เท่านั้น ซึ่งหมายความว่ายังไม่ได้ผ่านการ peer review โดยกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ

ที่มาข้อมูล : สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

ที่มารูปภาพ : Envato

avatar

TNNThailand