
ปี 2024 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตามรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.55°C การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลจากปัจจัยร่วมหลายประการ ได้แก่ ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกที่พุ่งสูงขึ้น ปรากฏการณ์เอลนีโญ และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ปี 2024 มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปี 2024
1. อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในปี 2024 ทุกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ถึงธันวาคม 2024 ทำลายสถิติอุณหภูมิที่เคยบันทึกไว้ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้นเกิน 1.5°C เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม นี่เป็นครั้งแรกที่โลกประสบกับภาวะโลกร้อนที่เกินขีดจำกัดที่กำหนดโดยความตกลงปารีส
2. การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการละลายของธารน้ำแข็ง
ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นเร็วเป็นสองเท่าจากเมื่อเริ่มบันทึกข้อมูลด้วยดาวเทียมในปี 1993 ส่งผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่งและระบบนิเวศทางทะเล นอกจากนี้ ปริมาณน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติกาลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 ปีที่ผ่านมา และมวลน้ำแข็งของธารน้ำแข็งทั่วโลกสูญเสียมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
3. เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้น
ปี 2024 มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกว่า 150 ครั้งทั่วโลก รวมถึงคลื่นความร้อนรุนแรง น้ำท่วมขนาดใหญ่ และพายุไต้ฝุ่นหลายลูกที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง ตัวอย่างเช่น ไต้ฝุ่น Yagi ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีนตอนใต้ ในขณะที่เฮอริเคน Helene และ Milton สร้างความเสียหายแก่รัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกาด้วยฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 ราย
4. ความเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านอาหารและที่อยู่อาศัย
เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การพลัดถิ่นของประชากรจำนวนมาก โดยในปี 2024 มีผู้พลัดถิ่นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในรอบ 16 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผลกระทบจากภัยแล้งและน้ำท่วมทำให้เกิดวิกฤติความมั่นคงด้านอาหารในกว่า 18 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้นและเพิ่มจำนวนประชากรที่ขาดแคลนอาหาร
สรุปข่าว
ปี 2024 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตามรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ซึ่งระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.55°C การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลจากปัจจัยร่วมหลายประการ ได้แก่ ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกที่พุ่งสูงขึ้น ปรากฏการณ์เอลนีโญ และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ปี 2024 มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปี 2024
1. อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในปี 2024 ทุกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ถึงธันวาคม 2024 ทำลายสถิติอุณหภูมิที่เคยบันทึกไว้ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้นเกิน 1.5°C เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม นี่เป็นครั้งแรกที่โลกประสบกับภาวะโลกร้อนที่เกินขีดจำกัดที่กำหนดโดยความตกลงปารีส
2. การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการละลายของธารน้ำแข็ง
ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นเร็วเป็นสองเท่าจากเมื่อเริ่มบันทึกข้อมูลด้วยดาวเทียมในปี 1993 ส่งผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่งและระบบนิเวศทางทะเล นอกจากนี้ ปริมาณน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติกาลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 ปีที่ผ่านมา และมวลน้ำแข็งของธารน้ำแข็งทั่วโลกสูญเสียมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
3. เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้น
ปี 2024 มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกว่า 150 ครั้งทั่วโลก รวมถึงคลื่นความร้อนรุนแรง น้ำท่วมขนาดใหญ่ และพายุไต้ฝุ่นหลายลูกที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง ตัวอย่างเช่น ไต้ฝุ่น Yagi ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีนตอนใต้ ในขณะที่เฮอริเคน Helene และ Milton สร้างความเสียหายแก่รัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกาด้วยฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 ราย
4. ความเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านอาหารและที่อยู่อาศัย
เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การพลัดถิ่นของประชากรจำนวนมาก โดยในปี 2024 มีผู้พลัดถิ่นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดในรอบ 16 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผลกระทบจากภัยแล้งและน้ำท่วมทำให้เกิดวิกฤติความมั่นคงด้านอาหารในกว่า 18 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้นและเพิ่มจำนวนประชากรที่ขาดแคลนอาหาร
ความจำเป็นในการดำเนินการเร่งด่วน
แม้ว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียงปีเดียวจะยังไม่ทำให้เป้าหมายระยะยาวของความตกลงปารีสล้มเหลว แต่รายงานของ WMO ย้ำว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทุก ๆ ส่วนขององศามีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตผู้คน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
1. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ผู้นำโลกต้องร่วมมือกันผลักดันมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น
2. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้าและบริการด้านอุตุนิยมวิทยามีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ชุมชนสามารถรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีเพียงครึ่งหนึ่งของประเทศทั่วโลกที่มีระบบเตือนภัยที่เพียงพอ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม
ปี 2024 เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนถึงความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนที่รุนแรง การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล หรือเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ WMO เน้นย้ำว่าผู้กำหนดนโยบายต้องเร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเสริมสร้างการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อปกป้องโลกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไป
- โลกร้อนไม่ใช่ภัยเงียบ ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังหายไป เข้าใกล้จุดวิกฤตอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
- โลกเจอคลื่นความร้อน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30 วันต่อปี จะมากกว่านี้หากไม่ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
- ธารน้ำแข็งเทือกเขาแอลป์ถล่ม สร้างความกังวลใหม่ เสี่ยงน้ำท่วมหมู่บ้านใกล้เคียง
- น้ำเหนือหลากลงสู่ลุ่มเจ้าพระยา กรมชลฯ แจ้งเตือน 11 จังหวัดเฝ้าระวังด่วน
- ไฟป่า “แคนาดา” เข้าวันที่ 4 รุนแรงหนักจนเห็นได้ชัดจากภาพถ่ายดาวเทียม
- โลกจะร้อนทุบสถิติใน 5 ปี อุตุฯโลกชี้ภัยธรรมชาติเพิ่มแน่ ทั้งไฟป่า น้ำท่วม ภัยแล้งรุนแรง
- อิฐรีไซเคิลลดคาร์บอน นวัตกรรมสีเขียวสู้โลกร้อน ถึงแพงกว่าแต่คุ้มที่จะจ่าย
TNNThailand