
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1948 โลกของการพยากรณ์อากาศได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ สองนายกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือ “การพยากรณ์พายุทอร์นาโด” ปรากฏการณ์ที่ก่อนหน้านั้นรัฐบาลยังถือว่า “ไม่สามารถพยากรณ์ได้” และถูกมองว่าเป็น "พระประสงค์ของพระเจ้า"
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1948 พายุทอร์นาโดลูกใหญ่พัดถล่มฐานทัพอากาศทิงเกอร์ ในรัฐโอคลาโฮมา สร้างความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อเครื่องบินและอาคาร โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตหลายราย ถือเป็นพายุที่สร้างความเสียหายหนักที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐในขณะนั้น
แม้นักอุตุนิยมวิทยาจะคาดการณ์ว่ามีพายุฝนฟ้าคะนองในวันนั้น แต่ไม่มีการแจ้งเตือนเรื่องทอร์นาโดเลย เพราะในยุคนั้นยังไม่มีระบบเฝ้าระวังหรือเตือนภัยแบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน ด้านคณะกรรมการตรวจสอบของ NOAA สรุปเหตุการณ์ว่า “ไม่สามารถพยากรณ์ได้ในขณะนั้น” และจัดให้เป็นเหตุการณ์เหนือการควบคุม หรือ “พระประสงค์ของพระเจ้า”
สรุปข่าว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1948 โลกของการพยากรณ์อากาศได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ สองนายกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือ “การพยากรณ์พายุทอร์นาโด” ปรากฏการณ์ที่ก่อนหน้านั้นรัฐบาลยังถือว่า “ไม่สามารถพยากรณ์ได้” และถูกมองว่าเป็น "พระประสงค์ของพระเจ้า"
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1948 พายุทอร์นาโดลูกใหญ่พัดถล่มฐานทัพอากาศทิงเกอร์ ในรัฐโอคลาโฮมา สร้างความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อเครื่องบินและอาคาร โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตหลายราย ถือเป็นพายุที่สร้างความเสียหายหนักที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐในขณะนั้น
แม้นักอุตุนิยมวิทยาจะคาดการณ์ว่ามีพายุฝนฟ้าคะนองในวันนั้น แต่ไม่มีการแจ้งเตือนเรื่องทอร์นาโดเลย เพราะในยุคนั้นยังไม่มีระบบเฝ้าระวังหรือเตือนภัยแบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน ด้านคณะกรรมการตรวจสอบของ NOAA สรุปเหตุการณ์ว่า “ไม่สามารถพยากรณ์ได้ในขณะนั้น” และจัดให้เป็นเหตุการณ์เหนือการควบคุม หรือ “พระประสงค์ของพระเจ้า”
แต่สองนายทหารผู้รอดชีวิตจากพายุ ได้แก่ กัปตันโรเบิร์ต ซี. มิลเลอร์ และ พันตรีเออร์เนสต์ เจ. ฟอบัช ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ไม่สามารถพยากรณ์ได้” พวกเขาได้รับคำสั่งจากนายพลเฟร็ด เอส. โบรัม ให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการพยากรณ์พายุฝนฟ้าคะนองที่อาจก่อให้เกิดทอร์นาโดในอนาคต ทั้งคู่เริ่มศึกษาข้อมูลจากเหตุการณ์พายุที่ผ่านมา และสังเกตรูปแบบของสภาพอากาศที่อาจเป็นตัวบ่งชี้การเกิดทอร์นาโด จนในวันที่ 25 มีนาคม เพียงห้าวันหลังจากเหตุการณ์แรก พวกเขาพบว่ารูปแบบอากาศในวันนั้นคล้ายคลึงกับวันที่เกิดพายุเสียหายใหญ่
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน พวกเขาได้นำข้อมูลไปเสนอแก่ผู้บัญชาการ และได้รับคำถามสำคัญว่า “จะออกพยากรณ์ทอร์นาโดใช่ไหม?” แม้จะรู้ว่าหากพยากรณ์ผิดอาจสูญเสียความเชื่อมั่น แต่มิลเลอร์และฟอบัชตัดสินใจกล้าหาญ “ใช่” พวกเขาจะออกพยากรณ์
เวลา 15.00 น. ของวันนั้น พยากรณ์ฉบับแรกของทอร์นาโดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ถูกเผยแพร่ เตือนว่าฐานทัพทิงเกอร์อาจเผชิญพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในช่วงเย็น ฐานทัพจึงเริ่มเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเตรียมแผนหลบภัย และเมื่อถึงเวลา 18.00 น. พื้นที่ยังคงเงียบสงบ หลายคนเริ่มกังวลว่าการพยากรณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์จะกลายเป็นความล้มเหลว แต่ไม่นานนัก ข่าวด่วนรายงานว่าทอร์นาโดได้ถล่มสนามบินของฐานอีกครั้ง สร้างความเสียหายมูลค่า 6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 71.8 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) แต่ครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิตเลย แตกต่างอย่างชัดเจนจากเหตุการณ์ก่อนหน้า
จากความสำเร็จครั้งนั้น มิลเลอร์และฟอบัชได้กลายเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบพยากรณ์ทอร์นาโดในสหรัฐฯ และในปี 1951 ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าศูนย์เตือนภัยสภาพอากาศรุนแรง (Severe Weather Warning Center) ของกองทัพอากาศ หลังจากนั้นไม่นาน สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของรัฐบาล (ปัจจุบันคือ National Weather Service) ก็ได้เริ่มออก “ประกาศทอร์นาโด” สำหรับประชาชนทั่วไป กลายเป็นต้นแบบของระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ช่วยชีวิตผู้คนทั่วประเทศจนถึงทุกวันนี้
เหตุการณ์เมื่อ 77 ปีก่อนแสดงให้เห็นว่า ความกล้าหาญ ความรู้ และการตัดสินใจที่กล้าหาญของคนเพียงสองคน สามารถเปลี่ยนโลกได้ ทั้งมิลเลอร์และฟอบัชไม่เพียงสร้างมาตรฐานใหม่ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังช่วยปกป้องชีวิตผู้คนอีกนับไม่ถ้วนจากภัยธรรมชาติที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่า “ไม่มีทางทำนายได้”
ที่มาข้อมูล : Accuweather
ที่มารูปภาพ : Air Force photo courtesy of Oklahoma City Air Logistics Center History Office/ NOAA