
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปะทุบนดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2568 บริเวณจุดมืด AR4100 ซึ่งได้ปล่อยทั้งเปลวสุริยะ (Solar Flare) และมวลโคโรนาขนาดใหญ่ (Coronal Mass Ejection - CME) ที่มีทิศทางพุ่งตรงมายังโลก
โดยมวลโคโรนาขนาดใหญ่ หรือ CME ดังกล่าว อาจก่อให้เกิดพายุสนามแม่เหล็กระดับรุนแรงหรือ G4 ตามมาตรฐานการวัดของ NOAA ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนำทาง ระบบการสื่อสารชั่วขณะ และการปฏิบัติการของระบบดาวเทียม
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์พายุแม่เหล็กโลกในครั้งนี้ จะทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงออโรรา (Aurora) หลากสีเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ใกล้ขั้วโลกและเขตละติจูดสูงได้อย่างชัดเจน
สรุปข่าว
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปะทุบนดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2568 บริเวณจุดมืด AR4100 ซึ่งได้ปล่อยทั้งเปลวสุริยะ (Solar Flare) และมวลโคโรนาขนาดใหญ่ (Coronal Mass Ejection - CME) ที่มีทิศทางพุ่งตรงมายังโลก
โดยมวลโคโรนาขนาดใหญ่ หรือ CME ดังกล่าว อาจก่อให้เกิดพายุสนามแม่เหล็กระดับรุนแรงหรือ G4 ตามมาตรฐานการวัดของ NOAA ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนำทาง ระบบการสื่อสารชั่วขณะ และการปฏิบัติการของระบบดาวเทียม
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์พายุแม่เหล็กโลกในครั้งนี้ จะทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงออโรรา (Aurora) หลากสีเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ใกล้ขั้วโลกและเขตละติจูดสูงได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์นี้ แต่จากข้อมูลเซนเซอร์ของ GISTDA ตรวจพบพายุสนามแม่เหล็กโลกระดับรุนแรงปานกลาง (G3) บริเวณประเทศไทย โดยใช้ค่าดัชนี Local K index มีค่าสูงถึงระดับ 7 จากทั้งหมด 9 ระดับ ดังนั้นมีโอกาสส่งผลกระทบ อาทิ การรบกวนของสัญญาณระบบนำร่องผ่านดาวเทียมทำให้ความแม่นยำลดลงชั่วคราว การรบกวนของสัญญาณคลื่นวิทยุความถี่สูง (HF) และการปฏิบัติการของระบบดาวเทียม
โดย GISTDA จะเฝ้าระวังและติดตามสภาพอวกาศอย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนหากเกิดเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในระยะต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2568 ยังคงอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะรอบที่ 25 (Solar Cycle 25) ที่มีกิจกรรมของดวงอาทิตย์ เช่น การเกิดจุดมืดและการปะทุ ที่มีความถี่และรุนแรงสูงสุดในรอบ 11 ปี