โลกใกล้แตะ 1.5 องศาฯ จุดเปลี่ยนสู่หายนะ แม้เดินถูกทาง แต่ยัง “ช้าเกินไป”

โลกใกล้แตะ 1.5 องศาฯ จุดเปลี่ยนสู่หายนะ แม้เดินถูกทาง แต่ยัง “ช้าเกินไป”

เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ (UN) ออกมาเตือนว่า โลกกำลังเข้าใกล้จุดวิกฤตของภาวะโลกร้อนที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นขีดจำกัดสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกเตือนมาอย่างยาวนานว่า หากทะลุเกินไปจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจย้อนคืน และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศและความเป็นอยู่ของมนุษย์


อุณหภูมิที่สูงเกิน 1.5 องศาฯ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขสัญลักษณ์เท่านั้น แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบภูมิอากาศโลก ที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงของภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ความแห้งแล้ง การพังทลายของแผ่นน้ำแข็ง และสภาพอากาศสุดขั้วต่างๆ ที่จะเกิดถี่และรุนแรงขึ้น


ในบทสัมภาษณ์พิเศษกับสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ที่ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา “ฮอร์เก มอเรรา ดา ซิลวา” ผู้อำนวยการบริหารของสำนักงานโครงการแห่งสหประชาชาติ (UNOPS) กล่าวเตือนว่า หากโลกปล่อยให้อุณหภูมิสูงขึ้นไปแตะ 2.9 องศาเซลเซียส แทนที่จะควบคุมไว้ที่ 1.5 องศา จะมีประชากรโลกมากถึง 1.3 พันล้านคนที่ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่ที่กลายเป็นทะเลทรายหรือประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
 

สรุปข่าว

UN เตือนภาวะโลกร้อนใกล้ทะลุขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส เสี่ยงกระทบหนักทั้งสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิตมนุษย์ แม้เทคโนโลยีสีเขียวจะก้าวหน้า แต่หากทั่วโลกยังไม่เร่งมือ อนาคตอาจไม่ทันแก้ไขทันการณ์

เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ (UN) ออกมาเตือนว่า โลกกำลังเข้าใกล้จุดวิกฤตของภาวะโลกร้อนที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถือเป็นขีดจำกัดสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกเตือนมาอย่างยาวนานว่า หากทะลุเกินไปจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจย้อนคืน และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศและความเป็นอยู่ของมนุษย์


อุณหภูมิที่สูงเกิน 1.5 องศาฯ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขสัญลักษณ์เท่านั้น แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบภูมิอากาศโลก ที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงของภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ความแห้งแล้ง การพังทลายของแผ่นน้ำแข็ง และสภาพอากาศสุดขั้วต่างๆ ที่จะเกิดถี่และรุนแรงขึ้น


ในบทสัมภาษณ์พิเศษกับสถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ที่ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา “ฮอร์เก มอเรรา ดา ซิลวา” ผู้อำนวยการบริหารของสำนักงานโครงการแห่งสหประชาชาติ (UNOPS) กล่าวเตือนว่า หากโลกปล่อยให้อุณหภูมิสูงขึ้นไปแตะ 2.9 องศาเซลเซียส แทนที่จะควบคุมไว้ที่ 1.5 องศา จะมีประชากรโลกมากถึง 1.3 พันล้านคนที่ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่ที่กลายเป็นทะเลทรายหรือประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
 

เขาระบุว่า ความเสียหายจะเกิดกับแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ ระบบภูมิอากาศจะสูญเสียเสถียรภาพ และพายุหมุนเขตร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โลกอาจยังคงอยู่ แต่คุณภาพชีวิต สุขภาพ และความเป็นอยู่ของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
 

แม้สถานการณ์จะท้าทาย แต่ “ดา ซิลวา” ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านพลังงานหมุนเวียนและการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในประเทศจีน ที่มีอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
 

เขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยพลังงานแสงอาทิตย์และลมกลายเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าก็มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก ไม่ว่าจะในจีน ยุโรป หรือสหรัฐฯ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า วาระสีเขียวในวันนี้ไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการสร้างงานจำนวนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเทคโนโลยีและศักยภาพทางเศรษฐกิจของพลังงานสีเขียว แต่เขายังแสดงความกังวลในสองเรื่องหลัก ได้แก่ ความเร็วในการดำเนินการ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาคมโลก ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) การมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 จะสามารถสร้างงานในภาคพลังงานหมุนเวียนได้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าภายในปี 2030

"ทิศทางของโลกอาจกำลังมาถูกทาง แต่คำถามคือ เราเร็วพอไหม? ซึ่งผมยังไม่มั่นใจ" เขากล่าวในตอนท้าย พร้อมย้ำว่า ประเด็นสำคัญไม่ใช่เพียงแค่ “ทางที่เดิน” แต่คือ “ความเร็วในการเดินทาง” เพื่อหลีกเลี่ยงอนาคตที่มนุษย์จะต้องเผชิญกับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Envato