ร้อนระอุทั่วโลก! คลื่นความร้อนถล่มหลายทวีป เสี่ยงเกิดไฟป่า-น้ำท่วมมากขึ้น

ร้อนระอุทั่วโลก!  คลื่นความร้อนถล่มหลายทวีป  เสี่ยงเกิดไฟป่า-น้ำท่วมมากขึ้น

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ออกคำเตือนว่าอากาศร้อนสุดขั้ว (Extreme Heat) กำลังส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายล้านคนทั่วโลก โดยสถานการณ์ยังรุนแรงขึ้นจากการเกิดไฟป่าและคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ ย้ำความจำเป็นของระบบเตือนภัยล่วงหน้าและแผนปฏิบัติการด้านคลื่นความร้อนและสุขภาพ

ข้อมูลจากสำนักบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (C3S) ของสหภาพยุโรป ระบุว่า เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากกรกฎาคม 2023 และกรกฎาคม 2024 โดยอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติการณ์ ขณะที่ปริมาณน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบ 47 ปีของการบันทึกดาวเทียม ใกล้เคียงกับปี 2012 และ 2021

อย่างในยุโรป คลื่นความร้อนเมื่อเดือนกรกฎาคมส่งผลรุนแรงต่อสวีเดนและฟินแลนด์ ที่อุณหภูมิสูงเกิน 30°C ต่อเนื่องนานผิดปกติ ขณะยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญทั้งความร้อนจัดและไฟป่า ส่วนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ของเอเชียตะวันตก เอเชียกลางตอนใต้ ปากีสถานตอนใต้ แอฟริกาเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ วัดอุณหภูมิสูงเกิน 42°C หลายแห่งทะลุ 45°C ขณะที่บางพื้นที่ในตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่านและตะวันออกของอิรักสูงเกิน 50°C ส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า น้ำประปา การเรียนการสอน และการทำงานของแรงงาน

สรุปข่าว

เดือนกรกฎาคม 2025 กลายเป็นหนึ่งในเดือนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลายพื้นที่อุณหภูมิพุ่งทะลุ 50 องศาเซลเซียส ท่ามกลางวิกฤตไฟป่าและคุณภาพอากาศย่ำแย่ WMO เตือนคลื่นความร้อนสุดขั้วยังคงถาโถม และอาจก่อให้เกิดฝนหนัก-น้ำท่วมฉับพลันในบางภูมิภาค ย้ำความจำเป็นเร่งด่วนของระบบเตือนภัยและแผนรับมือด้านสุขภาพ

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ออกคำเตือนว่าอากาศร้อนสุดขั้ว (Extreme Heat) กำลังส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายล้านคนทั่วโลก โดยสถานการณ์ยังรุนแรงขึ้นจากการเกิดไฟป่าและคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ ย้ำความจำเป็นของระบบเตือนภัยล่วงหน้าและแผนปฏิบัติการด้านคลื่นความร้อนและสุขภาพ

ข้อมูลจากสำนักบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (C3S) ของสหภาพยุโรป ระบุว่า เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากกรกฎาคม 2023 และกรกฎาคม 2024 โดยอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติการณ์ ขณะที่ปริมาณน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบ 47 ปีของการบันทึกดาวเทียม ใกล้เคียงกับปี 2012 และ 2021

อย่างในยุโรป คลื่นความร้อนเมื่อเดือนกรกฎาคมส่งผลรุนแรงต่อสวีเดนและฟินแลนด์ ที่อุณหภูมิสูงเกิน 30°C ต่อเนื่องนานผิดปกติ ขณะยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญทั้งความร้อนจัดและไฟป่า ส่วนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ของเอเชียตะวันตก เอเชียกลางตอนใต้ ปากีสถานตอนใต้ แอฟริกาเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ วัดอุณหภูมิสูงเกิน 42°C หลายแห่งทะลุ 45°C ขณะที่บางพื้นที่ในตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่านและตะวันออกของอิรักสูงเกิน 50°C ส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า น้ำประปา การเรียนการสอน และการทำงานของแรงงาน

นอกจากนี้ WMO ยังเตือนว่า การผสมกันระหว่างความร้อนจัดใกล้ผิวดินและอากาศเย็นในชั้นบรรยากาศสูงในฤดูร้อน อาจกระตุ้นให้เกิดฝนตกหนักสุดขั้วและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ภูเขา สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

สำหรับ “คลื่นความร้อน” (Heatwave) คือช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่นั้นอย่างต่อเนื่องหลายวันหรือนานกว่านั้น ซึ่งอาจเกิดได้บ่อยขึ้นจากภาวะโลกร้อน ผลกระทบมีตั้งแต่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคลมแดด (Heatstroke) ภาวะขาดน้ำ และการกำเริบของโรคหัวใจและปอด ไปจนถึงความเสียหายต่อระบบเกษตรกรรม ไฟป่า และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้าและประปา


ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าในช่วงคลื่นความร้อน ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงแดดจัด สวมเสื้อผ้าบางและสีอ่อน รวมถึงเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งด้านองค์การ WMO ยืนยันว่าจะเดินหน้าพัฒนาระบบเตือนภัยคลื่นความร้อนล่วงหน้า และทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับแผนปฏิบัติการด้านคลื่นความร้อนและสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Reuters