ภัยแล้ง–น้ำท่วมถล่มเอเชีย วิกฤตน้ำส่อพังเศรษฐกิจโลก หากไร้การแก้ไข

ภัยแล้ง–น้ำท่วมถล่มเอเชีย  วิกฤตน้ำส่อพังเศรษฐกิจโลก  หากไร้การแก้ไข

เอเชียกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวิกฤตน้ำที่รุนแรงที่สุดของโลก ไม่เพียงเป็นปัญหาด้านมนุษยธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนหลายพันล้าน แต่ยังเป็น “วิกฤตเศรษฐกิจมหภาค” ที่อาจสร้างแรงสะเทือนต่อเสถียรภาพโลก หากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง ปัญหานี้จะบ่อนทำลายความมั่นคงด้านอาหาร ความสามารถในการรับมือสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

 

ปัจจุบัน เอเชียเผชิญทั้ง น้ำท่วมและภัยแล้งสลับกัน เช่น การอพยพประชาชนกว่า 200,000 คนในปัญจาบ ปากีสถานเพราะฝนตกหนัก หรือพายุรุนแรงในเวียดนามที่สร้างความเสียหายมหาศาล อีกทั้งอิรักกำลังประสบกับปีที่แห้งแล้งที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายเมืองต้องพึ่งพาการขนน้ำมาแจกจ่ายทุกวัน

สรุปข่าว

“เอเชีย” กำลังเผชิญวิกฤตน้ำรุนแรง ทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม สร้างผลกระทบต่อผู้คนนับพันล้านและเศรษฐกิจโลก ปัญหาหลักคือการขาดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่ยังไม่เพียงพอ หากเร่งอุดช่องว่างการลงทุน ใช้เทคโนโลยี และบูรณาการการปรับตัว จะช่วยลดความเปราะบางและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้

เอเชียกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวิกฤตน้ำที่รุนแรงที่สุดของโลก ไม่เพียงเป็นปัญหาด้านมนุษยธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนหลายพันล้าน แต่ยังเป็น “วิกฤตเศรษฐกิจมหภาค” ที่อาจสร้างแรงสะเทือนต่อเสถียรภาพโลก หากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง ปัญหานี้จะบ่อนทำลายความมั่นคงด้านอาหาร ความสามารถในการรับมือสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

 

ปัจจุบัน เอเชียเผชิญทั้ง น้ำท่วมและภัยแล้งสลับกัน เช่น การอพยพประชาชนกว่า 200,000 คนในปัญจาบ ปากีสถานเพราะฝนตกหนัก หรือพายุรุนแรงในเวียดนามที่สร้างความเสียหายมหาศาล อีกทั้งอิรักกำลังประสบกับปีที่แห้งแล้งที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายเมืองต้องพึ่งพาการขนน้ำมาแจกจ่ายทุกวัน

แม้เอเชียจะเป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในอนาคต แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่ มีประเทศขาดแคลนน้ำหนาแน่นที่สุด ประชาชนกว่า 500 ล้านคนเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำ และกว่าพันล้านคนยังไม่มีน้ำดื่มสะอาดและระบบสุขาภิบาลที่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยชี้ว่า เอเชียจะเผชิญภัยแล้งบ่อยขึ้นถึง 10 เท่าในศตวรรษนี้ และฝนตกหนักก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ


อุปสรรคใหญ่ คือ ช่องว่างด้านเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบชลประทาน การบำบัดน้ำเสีย และการจัดการน้ำในเมือง แม้ธนาคารพัฒนาได้อัดฉีดเงินกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2019–2024 แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ความร่วมมือที่เข้มแข็งกว่านี้ระหว่างภาครัฐ เอกชน และธนาคารพัฒนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ ต้องถูกยกระดับเป็นวาระหลัก ไม่ใช่เพียงเรื่องรอง การลงทุนด้านป้องกันน้ำท่วม การจัดการภัยแล้ง และระบบป้องกันชายฝั่งควรถูกบูรณาการเข้ากับการพัฒนาเมือง เกษตร และคมนาคม โครงการตัวอย่าง เช่น โครงการชลประทานปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศในกัมพูชา ได้พิสูจน์ว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นสามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงของน้ำและเกษตรกรรมได้จริง

เทคโนโลยี ก็เป็นอีกกุญแจสำคัญ เช่น ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดการใช้น้ำ ดาวเทียมสังเกตการณ์ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และพลังงานน้ำจากมรสุม แม้มีศักยภาพสูง แต่การนำไปใช้ยังช้าเพราะขาดการเผยแพร่ ความเข้าใจ และความร่วมมือ ซึ่ง AIIB จึงได้จัดตั้ง InfraTech Portal เพื่อช่วยให้ประเทศต่าง ๆ เข้าถึงเทคโนโลยีและผู้ให้บริการได้ง่ายขึ้น

 

วิกฤตน้ำในเอเชียไม่ใช่แค่เรื่องการขาดแคลนน้ำ หากแต่เป็น ปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลก หากเพิกเฉย ปัญหาจะขัดขวางการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและบั่นทอนความมั่นคงด้านอาหารและเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ อุดช่องว่างการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มการปรับตัวด้านภูมิอากาศ และใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ การลงมือวันนี้ไม่เพียงช่วยลดความเปราะบางของภูมิภาค แต่ยังเปิดโอกาสสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคงของเอเชียและโลกทั้งใบ

ที่มาข้อมูล : earth.org

ที่มารูปภาพ : NOAA