
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำล่าสุดว่า ปริมาณฝนตกหนักในหลายพื้นที่ส่งผลให้อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เกิดน้ำท่วมเนื่องจากมีฝนสะสมสูงกว่า 200 มิลลิเมตร ขณะที่จังหวัดน่าน ขอนแก่น และอุดรธานี ก็ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักเช่นกัน ปรากฏการณ์ฝนตกดังกล่าวเกิดจาก มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดึงความชื้นจากพายุรากาซาเข้ามาเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนมีฝนตกหนักในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล
ส่วนสถานการณ์เขื่อนใหญ่ นายไพฑูรย์ ระบุว่า เขื่อนภูมิพล ยังมีความจุรองรับน้ำได้อีกกว่า 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และ เขื่อนสิริกิติ์ ยังรับน้ำได้อีก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจากปริมาณฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ตอนบนยืนยันได้ว่าเขื่อนทั้งสองแห่งยังสามารถรองรับน้ำได้ และปัจจุบัน ได้ปรับลดการระบายน้ำลงแล้ว เพื่อช่วยให้เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท คงการระบายน้ำไว้ที่ระดับ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วง 7 วันข้างหน้า จากการคาดการณ์จะมีน้ำไหลผ่านหน้าเขื่อนสูงสุดที่ 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หากปริมาณน้ำเป็นไปตามคาดการณ์ จะไม่มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม ยกเว้น พื้นที่ลุ่มนอกคันกั้นน้ำ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมเข้าช่วยเหลือแล้ว
สรุปข่าว
ปริมาณฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศไทยส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบางจุดในภาคเหนือและภาคอีสาน ขณะที่เขื่อนใหญ่ยังสามารถรองรับน้ำได้ ทำให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังไม่มีความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ แต่ประชาชนต้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำล่าสุดว่า ปริมาณฝนตกหนักในหลายพื้นที่ส่งผลให้อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เกิดน้ำท่วมเนื่องจากมีฝนสะสมสูงกว่า 200 มิลลิเมตร ขณะที่จังหวัดน่าน ขอนแก่น และอุดรธานี ก็ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักเช่นกัน ปรากฏการณ์ฝนตกดังกล่าวเกิดจาก มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดึงความชื้นจากพายุรากาซาเข้ามาเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนมีฝนตกหนักในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล
ส่วนสถานการณ์เขื่อนใหญ่ นายไพฑูรย์ ระบุว่า เขื่อนภูมิพล ยังมีความจุรองรับน้ำได้อีกกว่า 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และ เขื่อนสิริกิติ์ ยังรับน้ำได้อีก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจากปริมาณฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ตอนบนยืนยันได้ว่าเขื่อนทั้งสองแห่งยังสามารถรองรับน้ำได้ และปัจจุบัน ได้ปรับลดการระบายน้ำลงแล้ว เพื่อช่วยให้เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท คงการระบายน้ำไว้ที่ระดับ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วง 7 วันข้างหน้า จากการคาดการณ์จะมีน้ำไหลผ่านหน้าเขื่อนสูงสุดที่ 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หากปริมาณน้ำเป็นไปตามคาดการณ์ จะไม่มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม ยกเว้น พื้นที่ลุ่มนอกคันกั้นน้ำ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมเข้าช่วยเหลือแล้ว
ด้าน ภาคอีสาน เขื่อนอุบลรัตน์ ล่าสุดมีการระบายน้ำผ่านสปิลเวย์อยู่ที่ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เพื่อเตรียมพื้นที่รับน้ำที่จะไหลเข้าสู่เขื่อนจากฝนที่ตกในพื้นที่ตอนบน โดยยืนยันว่าใน ลุ่มน้ำมูลและลุ่มน้ำชี ใน 7 วันข้างหน้านี้ ยังสามารถรักษาระดับการระบายน้ำได้ แม้พื้นที่ลุ่มต่ำบางส่วนอาจได้รับผลกระทบบ้าง
ด้านนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า ปัจจุบันยังคงมีฝนตกต่อเนื่องในบางวันและบางพื้นที่ ปริมาณฝนสูงเกินกว่า 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง อาจทำให้เกิดน้ำขังรอการระบาย เนื่องจาก ศักยภาพการระบายน้ำของ กทม. อยู่ที่ 60–80 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ เพราะการเกิดน้ำท่วมใหญ่ต้องมีน้ำ 3 ส่วนร่วมกัน คือ น้ำเหนือที่หลากลงมากับแม่น้ำเจ้าพระยาผ่าน กทม. เกินกว่า 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประกอบกับฝนตกหนักและน้ำทะเลหนุน ซึ่งปัจจุบัน การระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ยังอยู่ที่อัตรา 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ยังมีความจุในการรองรับน้ำอีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ การใช้ ทุ่งรับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะเป็นตัวช่วยสุดท้ายในการชะลอการไหลของน้ำ หากปริมาณน้ำมากจนถึงขั้นต้องระบายที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเตรียมความพร้อม รวมถึงจัดแผนระบายน้ำออกจากทุ่งให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน
- พายุ “บัวลอย” จ่อมาอีกลูก มุ่งมาทาง “เวียดนาม” สุดสัปดาห์นี้ ตาม “รากาซา” มาติดๆ
- เช็กด่วน 55 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม 25–30 ก.ย. 68
- สรุปสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด 16 จังหวัด ประชาชนได้รับผลกระทบ 74,972 ครัวเรือน
- สทนช.เตือน 39 จังหวัด 25-30 ก.ย. ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าหลาก
- 2 เขื่อนใหญ่ แจ้งปรับลดการระบายน้ำ ลดภาระลุ่มเจ้าพระยา
ที่มาข้อมูล : สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ที่มารูปภาพ : Reuters
