“อินโดนีเซีย” เตือนประชาชน ระวังฝนตกหนักอีกระลอก

Share on Line Share on Facebook Share on X
“อินโดนีเซีย” เตือนประชาชน  ระวังฝนตกหนักอีกระลอก

สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่มในสามจังหวัดบนเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย รวมถึงจังหวัดอาเจะห์ ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 908 คนเมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.) ซึ่งตามข้อมูลของรัฐบาล และยังมีผู้สูญหายอีก 410 คน

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของอินโดนีเซีย ระบุว่าอาจมีฝนตกลงมาซ้ำอีกในจังหวัดอาเจะห์และสุมาตราเหนือในวันเสาร์ หลังจากที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำท่วมและดินถล่มเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา 


สรุปข่าว

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของอินโดนีเซีย เตือนจะมีฝนตกหนักลงมาอีกในจังหวัดอาเจะห์และสุมาตราเหนือ ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังเร่งค้นหาผู้สูญหายจากน้ำท่วมและดินถล่มเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่มในสามจังหวัดบนเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย รวมถึงจังหวัดอาเจะห์ ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 908 คนเมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.) ซึ่งตามข้อมูลของรัฐบาล และยังมีผู้สูญหายอีก 410 คน

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของอินโดนีเซีย ระบุว่าอาจมีฝนตกลงมาซ้ำอีกในจังหวัดอาเจะห์และสุมาตราเหนือในวันเสาร์ หลังจากที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำท่วมและดินถล่มเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา 


ผู้ว่าการอาเจะห์ มูซากีร์ มานัฟ กล่าวว่า ทีมกู้ภัยยังคงค้นหาร่างผู้เสียชีวิตในโคลนลึกระดับเอว ความอดอยากกำลังเป็นหนึ่งในภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดสำหรับหมู่บ้านห่างไกลที่เข้าไม่ถึง โดยประชาชนจำนวนมากต้องการของจำเป็นพื้นฐาน หลายพื้นที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปถึงในเขตทุรกันดารของอาเจะห์ มูซากีร์บอกว่า ผู้คนไม่ได้ตายเพราะน้ำท่วม แต่กำลังตายเพราะความอดอยาก หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกน้ำพัดหายไปในพื้นที่ป่าดิบชื้นของอาเจะห์ ตาเมียง

เขากล่วอีกว่า เขตอาเจะห์ ตาเมียง พังพินาศทั้งหมด ตั้งแต่ยอดเขาลงมาถึงทะเล ทั้งถนนและพื้นที่ต่างๆ ถูกทำลาย หลายหมู่บ้านและหลายตำบลเหลือเพียงชื่อเท่านั้น

ผู้รอดชีวิตในอาเจะห์ ตาเมียง บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสุมาตรา เล่าว่า พวกเขาต้องเดินเท้าหนึ่งชั่วโมงในวันเสาร์ ปีนขอนไม้ที่กระจัดกระจายและเดินผ่านรถที่พลิกคว่ำอยู่ เพื่อไปยังศูนย์แจกจ่ายความช่วยเหลือที่อาสาสมัครตั้งขึ้น อาสาสมัครแจกเสื้อผ้าสะอาด และนำรถบรรทุกน้ำดื่มมาบริการให้ประชาชนเติมใส่ขวดพลาสติก

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Reuters