อากาศ “ยุโรป” ยังอันตราย งานวิจัยชี้มลพิษทางอากาศ ทำชาวยุโรป 95% ยังหายใจไม่ปลอดภัย

Share on Line Share on Facebook Share on X
อากาศ “ยุโรป” ยังอันตราย งานวิจัยชี้มลพิษทางอากาศ  ทำชาวยุโรป 95% ยังหายใจไม่ปลอดภัย

สถานการณ์มลพิษทางอากาศในทวีปยุโรปยังคงวิกฤตเกินกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าหลายประเทศจะเดินหน้าออกมาตรการด้านคุณภาพอากาศอย่างจริงจังมานานหลายปี แต่รายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป หรือ EEA ที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้กลับชี้ว่า ชาวยุโรปกว่า 95% ยังคงต้องเผชิญกับระดับมลพิษเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดว่า “ปลอดภัย” และมลพิษเหล่านี้ได้ถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 279,000 รายในปี 2023 เพียงปีเดียว

รายงานระบุว่า หากสหภาพยุโรปสามารถลดระดับมลพิษหลัก ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โอโซน และไนโตรเจนไดออกไซด์ ให้สอดคล้องกับค่ามาตรฐานของ WHO ได้ จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตจำนวนมากได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ PM2.5 ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ WHO เคยปรับค่ามาตรฐานให้เข้มงวดขึ้นในปี 2021 จากงานวิจัยใหม่ที่ชี้ว่าฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้อันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่เคยประเมิน ลดทอนอายุขัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอด หัวใจ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคทางเดินหายใจหลากหลายชนิด

สรุปข่าว

วิกฤตคุณภาพอากาศในยุโรปยังคงรุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด แม้หลายประเทศจะเร่งลดการปล่อยมลพิษมานานกว่าทศวรรษ แต่รายงานฉบับล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรปกลับเผยตัวเลขที่น่าหวั่นใจว่า ชาวยุโรปกว่า 95% ยังคงหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินระดับปลอดภัย และในปี 2023 เพียงปีเดียว มลพิษทางอากาศถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเกือบ 280,000 ราย ตัวเลขที่สะท้อนว่าปัญหานี้ยังเป็น “ภัยเงียบ” ที่กัดกินสุขภาพผู้คนทั่วยุโรปอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นว่าการลดมลพิษให้ได้ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกอาจช่วยชีวิตผู้คนได้มหาศาล หากยุโรปสามารถเดินหน้าไปสู่ระดับอากาศที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง

สถานการณ์มลพิษทางอากาศในทวีปยุโรปยังคงวิกฤตเกินกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าหลายประเทศจะเดินหน้าออกมาตรการด้านคุณภาพอากาศอย่างจริงจังมานานหลายปี แต่รายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป หรือ EEA ที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้กลับชี้ว่า ชาวยุโรปกว่า 95% ยังคงต้องเผชิญกับระดับมลพิษเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดว่า “ปลอดภัย” และมลพิษเหล่านี้ได้ถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 279,000 รายในปี 2023 เพียงปีเดียว

รายงานระบุว่า หากสหภาพยุโรปสามารถลดระดับมลพิษหลัก ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โอโซน และไนโตรเจนไดออกไซด์ ให้สอดคล้องกับค่ามาตรฐานของ WHO ได้ จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตจำนวนมากได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ PM2.5 ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ WHO เคยปรับค่ามาตรฐานให้เข้มงวดขึ้นในปี 2021 จากงานวิจัยใหม่ที่ชี้ว่าฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้อันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่เคยประเมิน ลดทอนอายุขัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอด หัวใจ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคทางเดินหายใจหลากหลายชนิด

เพียงฝุ่น PM2.5 อย่างเดียวถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 182,000 รายในปีที่ผ่านมา โดยอิตาลี โปแลนด์ และเยอรมนีเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด แม้ตัวเลขจะยังสูง แต่ก็ถือว่าลดลงถึง 57% เมื่อเทียบกับปี 2005 ซึ่งบ่งชี้ว่าสหภาพยุโรปสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการเสียชีวิตจากมลพิษ 55% ตามแผน Zero Pollution Action Plan ปี 2021 ได้เร็วกว่ากำหนด

ส่วนด้านไนโตรเจนไดออกไซด์ หรือ NO₂ ซึ่งส่วนใหญ่ปล่อยจากเครื่องยนต์รถยนต์อันเป็นต้นเหตุของปัญหาไอเสียในเมืองใหญ่ ก็ถูกเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตอีกประมาณ 34,000 รายทั่วสหภาพยุโรป โดยประเทศที่พบการเสียชีวิตสูงสุดคือ ตุรกี อิตาลี และเยอรมนี แม้จำนวนจะลดลงจากปี 2005 และปี 2022 อย่างชัดเจน สะท้อนว่ามาตรการลดการปล่อยมลพิษโดยเฉพาะจากภาคพลังงานและการคมนาคมเริ่มเห็นผล แต่ยังห่างไกลจากจุดที่ถือว่าปลอดภัยอย่างแท้จริง

ส่วนโอโซน หรือ O₃ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ปฏิกิริยาทางเคมีในบรรยากาศ การใช้สารละลาย และการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 63,000 ราย ข้อมูลทั้งหมดสะท้อนภาพการค่อยๆ ลดลงของการเสียชีวิตจากมลพิษ ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2022 พบว่าผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 ลดลง 23.8% จาก NO₂ ลดลง 29.2% และจากโอโซนลดลงร้อยละ 10

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขจะลดลง แต่ปริมาณผู้เสียชีวิตรวมเกือบ 3 แสนรายก็ยังนับว่าสูงอย่างยิ่ง และสะท้อนว่าปัญหามลพิษอากาศยังเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งชุมชนเมือง อุตสาหกรรม และพื้นที่อยู่อาศัยในยุโรปอย่างต่อเนื่อง รายงานยังระบุด้วยว่า ผลกระทบของมลพิษทางอากาศไม่ได้จำกัดอยู่เพียงโรคปอดหรือระบบทางเดินหายใจอีกต่อไป เพราะหลักฐานใหม่ชี้ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับการเกิดภาวะสมองเสื่อม ซึ่งกำลังกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสุขภาพที่ทวีความสำคัญมากขึ้นในสังคมผู้สูงอายุของยุโรป

ข้อมูลล่าสุดจาก EEA จึงเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นว่า แม้ยุโรปจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดที่สุดในโลก แต่การทำให้อากาศปลอดภัยต่อการหายใจยังเป็นเป้าหมายที่ต้องเดินทางอีกไกล ทั้งในแง่ของการลดการปล่อยจากอุตสาหกรรม รถยนต์ พลังงาน และการปรับโครงสร้างเมืองเพื่อลดมลภาวะอย่างยั่งยืน ทั้งยังสะท้อนว่าผลกระทบจากมลพิษทางอากาศไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม หากแต่เป็นปัญหาเชิงสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจที่ยุโรปต้องเร่งแก้ไขในระยะยาว หากไม่ต้องการให้ตัวเลขการเสียชีวิตเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : ENVATO

แท็กบทความ