วิธีโน้มน้าวคนใกล้ชิดไปพบจิตแพทย์

วิธีโน้มน้าวคนใกล้ชิดไปพบจิตแพทย์

สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำวิธีโน้มน้าวคนใกล้ชิดไปพบจิตแพทย์ โดยระบุว่า ทาง inbox มีหลายคำถามขอคำแนะนำเกี่ยวกับการพาญาติมิตรมาหาหมอ หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ที่มาขอคำปรึกษา คือ “ญาติ” ไม่ใช่ตัวผู้ที่กำลังประสบปัญหา (ซึ่งหลังจากนี้ หมอขออนุญาตเรียกสั้นๆว่า คนไข้ นะคะ) ญาติๆได้พยายามเต็มที่แล้วที่จะชักแม่น้ำทั้งห้า แต่ยังไง้ยังไงคนไข้ก็ไม่ยอมมาหาจิตแพทย์ ญาติเลยต้องมาซะเอง

หมอเข้าใจความยากในการเกลี้ยกล่อมคนในครอบครัว (ยิ่งถ้าเราเป็นลูกเป็นหลานด้วยแล้ว) หรือคนสนิทค่ะ จึงอยากแนะนำเทคนิคที่เป็นประโยชน์ดังนี้

1) พูดถึง ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น

ซึ่งอาจจะเป็นทางด้าน

- อารมณ์ เช่น หงุดหงิดฉุนเฉียวผิดปกติ, วิตกกังวลไปทุกเรื่อง, เบื่อไปหมดทุกอย่าง

- ร่างกาย เช่น ซูบผอมเพราะเบื่ออาหาร, ขอบตาคล้ำเพราะนอนไม่หลับ, มีอาการทางร่างกายมากมายแต่ตรวจมาแล้วกี่อย่าง ก็ยังไม่เคยเจอสาเหตุทางกายสักที

- พฤติกรรม เช่น ไม่ค่อยพูดคุยเหมือนแต่ก่อน, มีปากเสียงบ่อยขึ้น, ซึมเฉยเหม่อลอย, ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม, ไม่สนใจอยากทำงานอดิเรกที่เคยชอบทำ

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ ใครๆก็เห็นได้ไม่ยาก – ทั้งตัวคนไข้และคนรอบข้าง

และเป็นความเปลี่ยนแปลง ในแง่ลบ ซึ่งตัวคนไข้เองก็รู้สึกเป็นทุกข์ (ที่หมอเจอบ่อยมากคือนอนไม่หลับ ซึม เบื่อหน่ายหงุดหงิด) แต่ที่เจ้าตัวไม่บอกใคร อาจเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ

2) แสดงความเป็นห่วง

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มักดำเนินมาค่อนข้างยาวนาน (อย่างน้อยก็นานกว่าที่คนส่วนใหญ่จะเป็น หากเจอสถานการณ์เดียวกัน) โดยไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น หนำซ้ำอาจมีแนวโน้มแย่ลงด้วย

เราควรแสดงออกถึงความเป็นห่วง ว่าเราอยากให้เขา  (นอนหลับ/ร่าเริงแจ่มใส/ไปเล่นกีฬา ฯลฯ) ‘เหมือนเดิม’ ซึ่งจะเป็นทั้งการสร้าง ‘ความหวัง’ และทำให้มองเห็น ‘เป้าหมาย’ 

บางครั้งคนไข้ก็จมอยู่ในความทุกข์จนลืมไปว่าตนเองเคยมีความสุขอย่างไรบ้าง

3) แสดงความเข้าใจและเห็นใจ

ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่คนไข้ก็ไม่ใช่คนแรกและคนเดียวแน่นอนที่ประสบปัญหานี้ บางคนผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ แต่บางคนก็ผ่านไปได้ยาก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาเองก็คงพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว

4) แนะนำให้ไปพบจิตแพทย์

ถ้าคนไข้ฟังคุณอย่างเรียบร้อยดีมาจนถึงขั้นนี้ หนทางก็สดใสไปแล้วกว่า 75% อย่างไรก็ตาม ทัศนคติเกี่ยวกับการไปพบจิตแพทย์ในประเทศไทยก็ยังไม่เป็นกลางเท่าในต่างประเทศ แม้ว่าจะดีขึ้นมาก เขาจึงอาจจะมีท่าทีต่อต้านขึ้นมาอยู่บ้างเมื่อได้ยินคำว่า “จิตแพทย์” เช่น “เค้าไม่ได้ผิดปกติซะหน่อย!” , “เค้าไม่ได้เป็นบ้านะ!” ก็ให้รับฟังอย่างกลาง ๆ ไปค่ะ

โรคทางจิตเวชที่พบบ่อย คือ โรคทางอารมณ์ค่ะ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ส่วนโรคทางความคิด หรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า “บ้า” นั้น พบน้อยกว่ากันเยอะเลยค่ะ


สรุปข่าว

สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำวิธีโน้มน้าวคนใกล้ชิดไปพบจิตแพทย์ โดยใช้ การพูดถึง ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น แสดงความเป็นห่วง แสดงความเข้าใจและเห็นใจ

สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำวิธีโน้มน้าวคนใกล้ชิดไปพบจิตแพทย์ โดยระบุว่า ทาง inbox มีหลายคำถามขอคำแนะนำเกี่ยวกับการพาญาติมิตรมาหาหมอ หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ที่มาขอคำปรึกษา คือ “ญาติ” ไม่ใช่ตัวผู้ที่กำลังประสบปัญหา (ซึ่งหลังจากนี้ หมอขออนุญาตเรียกสั้นๆว่า คนไข้ นะคะ) ญาติๆได้พยายามเต็มที่แล้วที่จะชักแม่น้ำทั้งห้า แต่ยังไง้ยังไงคนไข้ก็ไม่ยอมมาหาจิตแพทย์ ญาติเลยต้องมาซะเอง

หมอเข้าใจความยากในการเกลี้ยกล่อมคนในครอบครัว (ยิ่งถ้าเราเป็นลูกเป็นหลานด้วยแล้ว) หรือคนสนิทค่ะ จึงอยากแนะนำเทคนิคที่เป็นประโยชน์ดังนี้

1) พูดถึง ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น

ซึ่งอาจจะเป็นทางด้าน

- อารมณ์ เช่น หงุดหงิดฉุนเฉียวผิดปกติ, วิตกกังวลไปทุกเรื่อง, เบื่อไปหมดทุกอย่าง

- ร่างกาย เช่น ซูบผอมเพราะเบื่ออาหาร, ขอบตาคล้ำเพราะนอนไม่หลับ, มีอาการทางร่างกายมากมายแต่ตรวจมาแล้วกี่อย่าง ก็ยังไม่เคยเจอสาเหตุทางกายสักที

- พฤติกรรม เช่น ไม่ค่อยพูดคุยเหมือนแต่ก่อน, มีปากเสียงบ่อยขึ้น, ซึมเฉยเหม่อลอย, ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม, ไม่สนใจอยากทำงานอดิเรกที่เคยชอบทำ

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ ใครๆก็เห็นได้ไม่ยาก – ทั้งตัวคนไข้และคนรอบข้าง

และเป็นความเปลี่ยนแปลง ในแง่ลบ ซึ่งตัวคนไข้เองก็รู้สึกเป็นทุกข์ (ที่หมอเจอบ่อยมากคือนอนไม่หลับ ซึม เบื่อหน่ายหงุดหงิด) แต่ที่เจ้าตัวไม่บอกใคร อาจเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ

2) แสดงความเป็นห่วง

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มักดำเนินมาค่อนข้างยาวนาน (อย่างน้อยก็นานกว่าที่คนส่วนใหญ่จะเป็น หากเจอสถานการณ์เดียวกัน) โดยไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น หนำซ้ำอาจมีแนวโน้มแย่ลงด้วย

เราควรแสดงออกถึงความเป็นห่วง ว่าเราอยากให้เขา  (นอนหลับ/ร่าเริงแจ่มใส/ไปเล่นกีฬา ฯลฯ) ‘เหมือนเดิม’ ซึ่งจะเป็นทั้งการสร้าง ‘ความหวัง’ และทำให้มองเห็น ‘เป้าหมาย’ 

บางครั้งคนไข้ก็จมอยู่ในความทุกข์จนลืมไปว่าตนเองเคยมีความสุขอย่างไรบ้าง

3) แสดงความเข้าใจและเห็นใจ

ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่คนไข้ก็ไม่ใช่คนแรกและคนเดียวแน่นอนที่ประสบปัญหานี้ บางคนผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ แต่บางคนก็ผ่านไปได้ยาก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาเองก็คงพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว

4) แนะนำให้ไปพบจิตแพทย์

ถ้าคนไข้ฟังคุณอย่างเรียบร้อยดีมาจนถึงขั้นนี้ หนทางก็สดใสไปแล้วกว่า 75% อย่างไรก็ตาม ทัศนคติเกี่ยวกับการไปพบจิตแพทย์ในประเทศไทยก็ยังไม่เป็นกลางเท่าในต่างประเทศ แม้ว่าจะดีขึ้นมาก เขาจึงอาจจะมีท่าทีต่อต้านขึ้นมาอยู่บ้างเมื่อได้ยินคำว่า “จิตแพทย์” เช่น “เค้าไม่ได้ผิดปกติซะหน่อย!” , “เค้าไม่ได้เป็นบ้านะ!” ก็ให้รับฟังอย่างกลาง ๆ ไปค่ะ

โรคทางจิตเวชที่พบบ่อย คือ โรคทางอารมณ์ค่ะ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ส่วนโรคทางความคิด หรือที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า “บ้า” นั้น พบน้อยกว่ากันเยอะเลยค่ะ


5) ข้อควรระวัง 

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก มากพอๆหรืออาจจะมากกว่า “เนื้อหา” ใจความที่พูด ก็คือ

- กาลเทศะ : เวลา สถานที่ บรรยากาศในการพูดคุย ควรเลือกเวลาที่ทุกคนอารมณ์ดี ในที่ๆเป็นส่วนตัว

- ความจริง : จะไม่มีการโกหกใดๆทั้งสิ้นค่ะ เช่น หลอกว่าอีกคนเป็นคนเครียด ให้คนไข้ไปเป็นเพื่อนหน่อย หรือหลอกว่าจะพาไปหาหมอแผนกหนึ่ง แต่พอไปถึงโรงพยาบาลกลับพาไปแผนกจิตเวชแทน

เพราะคนไข้จะรู้สึกว่าถูกหักหลัง ผลที่ตามมาก็คือคนไข้จะไม่เชื่อใจญาติอีกเลย และจะไม่ร่วมมือในการพูดคุยกับจิตแพทย์ กลายเป็นว่าปิดโอกาสไปแทน

ลองคิดดูสิคะ การถูกหลอกเป็นเรื่องที่น่าโกรธน่าเสียใจอยู่แล้ว ยิ่งถ้าคนที่เรารักเป็นคนทำ แล้วเราจะไว้ใจใครได้อีก?

เราไม่จำเป็นต้องพูดความจริงทุกอย่าง แต่ทุกอย่างที่เราพูดต้องเป็นความจริงค่ะ

- ความหวังดี : ให้คนไข้รับรู้ถึงความเป็นห่วงและปรารถนาดีของเรา แต่ไม่ใช่การไปกล่าวโทษว่าการที่คนไข้เป็นแบบนี้ๆ ทำให้ญาติต้องเครียดตามไปด้วย เพื่อจะบีบให้คนไข้ไปหาหมอ การพูดเช่นนี้ไม่เกิดผลดีค่ะ และคนไข้ส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองมีผลกระทบต่อคนที่รักเขา

- ความพอดี : แนะนำแต่เพียงพอ อย่าคะยั้นคะยอจนเกินไป ให้เวลาเขาได้ไตร่ตรองได้ตัดสินใจด้วย

เพราะ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งยัดเยียดก็ยิ่งไม่อยากได้ ใจคนเรามันเป็นแบบนี้ค่ะ

หมอหวังว่าแนวทางนี้จะเป็นประโยชน์ในการเข้าถึงใจของคนที่เราเป็นห่วงนะคะ หลายคนฟังแล้วมั่นใจขึ้น แต่ก็อาจจะยังอดกังวลไม่ได้ว่า แล้วถ้าพูดแล้ว เค้าก็ไม่มาอยู่ดีล่ะ??

ถ้าอย่างนั้น…ก็แค่”เท่าทุน” ไหมคะ

พูดแล้วเค้ามาหาหมอ ก็กำไร

ไม่มา ก็แค่เหมือนเดิม

มีแต่ได้ลูกเดียวนะคะงานนี้

(อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน โรคแต่ละโรคก็แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าหากญาติไม่สามารถเกลี้ยกล่อมคนไข้สำเร็จ ญาติก็ควรไปพบจิตแพทย์ เพื่อที่คุณหมอจะได้ซักถามและให้คำแนะนำเพิ่มเติม ซึ่งต้องดูเป็นรายๆไปค่ะ บางกรณีอาจจำเป็นต้องเรียกรถพยาบาลค่ะ)


Tips 

* ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับคำว่าจิตแพทย์ ก็อาจใช้คำว่า หมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องนอนไม่หลับ , หมอผู้เชี่ยวชาญด้านอารมณ์ ก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องบอกว่าไปพบจิตแพทย์

* การยกตัวอย่างคนรู้จักที่เคยไปพบจิตแพทย์ จะทำให้คนไข้รู้สึกมากขึ้นว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดา(เพราะมันก็ธรรมดาจริงๆ) และเห็นว่ามีคนที่หมอรักษาแล้วหายแล้ว ยิ่งถ้าเป็นประสบการณ์ของตัวผู้พูดเองจะยิ่งได้ผลมากค่ะ

เครดิตเรื่อง : หมอมีฟ้า (rerun)

ที่มาข้อมูล : สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

ที่มารูปภาพ : canva