ยาที่พัฒนาด้วย AI ตัวแรกของโลก เริ่มทดลองกับคนไข้แล้ว

ยาที่พัฒนาด้วย AI ตัวแรกของโลก เริ่มทดลองกับคนไข้แล้ว

Insilico Medicine บริษัท Startup ด้าน Biotech จากฮ่องกงใช้ AI ในการวิจัยและคิดค้นยาที่มีชื่อว่า เรนโทเซอร์ทิบ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคที่เรียกว่า โรคพังผืดในปอดที่ไม่ทราบสาเหตุ

สำหรับโรคพังผืดในปอดที่ไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic Pulmonary Fibrosis หรือ IPF) เป็นภาวะเรื้อรังที่ปอดเกิดพังผืดขึ้น ทำให้การทำงานของปอดลดลง การหายใจลำบาก และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ 

สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การถ่ายทอดทางพันธุกรรม การสัมผัสสารบางชนิด หรือการติดเชื้อ

ในการทดสอบยาระยะแรก พบว่าโมเลกุลของยามีความปลอดภัยและออกฤทธิ์ได้จริง ยานี่จึงกลายเป็น “ยาที่พัฒนาโดย AI” ตัวแรกของโลกที่เดินหน้าการทดลองได้เร็วที่สุดในขณะนี้


สรุปข่าว

ยาที่พัฒนาด้วย AI ตัวแรกของโลก เริ่มทดลองกับคนไข้แล้ว อีกไม่เกิน 5 ปี อาจจะได้ใช้จริง

Insilico Medicine บริษัท Startup ด้าน Biotech จากฮ่องกงใช้ AI ในการวิจัยและคิดค้นยาที่มีชื่อว่า เรนโทเซอร์ทิบ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคที่เรียกว่า โรคพังผืดในปอดที่ไม่ทราบสาเหตุ

สำหรับโรคพังผืดในปอดที่ไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic Pulmonary Fibrosis หรือ IPF) เป็นภาวะเรื้อรังที่ปอดเกิดพังผืดขึ้น ทำให้การทำงานของปอดลดลง การหายใจลำบาก และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ 

สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การถ่ายทอดทางพันธุกรรม การสัมผัสสารบางชนิด หรือการติดเชื้อ

ในการทดสอบยาระยะแรก พบว่าโมเลกุลของยามีความปลอดภัยและออกฤทธิ์ได้จริง ยานี่จึงกลายเป็น “ยาที่พัฒนาโดย AI” ตัวแรกของโลกที่เดินหน้าการทดลองได้เร็วที่สุดในขณะนี้


การทดลองระยะที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถูกเผยแพร่ลงใน วารสาร Nature Medicine จัดขึ้นในศูนย์วิจัยทั้ง 22 แห่งทั่วประเทศจีน มีผู้ป่วยโรคนี้เข้าร่วมทั้งหมด 71 คน โดยผู้เข้าร่วมถูกแบ่งกลุ่มแบบสุ่มเพื่อรับการรักษาแตกต่างกัน ทั้งยาหลอก และยาเรนโทเซอร์ทิบ ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป

ผลการทดลองพบว่าคนที่ได้รับยา มีปริมาตรของอากาศที่จุอยู่ในปอดดีขึ้น แต่คนที่ได้รับยาหลอก ค่าดังกล่าวลดลง 

ในด้านความปลอดภัย พบผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในอัตราใกล้เคียงกันระหว่างผู้ป่วยแต่ละกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นอาการไม่รุนแรงถึงอาการระดับปานกลาง ส่วนผู้ป่วยที่พบผลข้างเคียงรุนแรงมีน้อยมาก อีกทั้งทุกรายสามารถฟื้นตัวได้หลังหยุดยา

ตอนนี้ ยานี้กำลังเตรียมเข้าสู่การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลให้ใช้กับผู้ป่วยในวงกว้าง ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 5 ปี 

ที่มาข้อมูล : chemistryworld.com

ที่มารูปภาพ : CANVA