
เพจเฟซบุ๊ก "หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า" ของ นพ.ฒัชชณพงศ์ จงเจริญยานนท์ หมอเด็กเฉพาะทางโรคทางเดินหายใจและผู้ป่วยวิกฤต ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับห้องฉุกเฉิน ระบุว่า
หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ ไปถึงห้องฉุกเฉินแล้วต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง บางคนมาทีหลัง แต่ได้แซงคิวตรวจก่อน จนเริ่มสงสัยว่า“ตกลงต้องทำยังไงถึงจะได้ตรวจก่อน?” วันนี้จะมาบอกเทคนิคให้ฟังกัน
วิธีที่1 ไปห้องฉุกเฉินแบบหัวใจไม่เต้นแล้วหรือหยุดหายใจไปแล้ว
ถ้าหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจไปแล้ว คุณจะได้เป็นคิวแรกของห้องฉุกเฉินทันที ไม่ว่าหมอจะกำลังยุ่งแค่ไหน
จะมีทีมวิ่งเข้ามาช่วย CPR กดหน้าอก ใส่ท่อช่วยหายใจ และช็อกไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ ทุกวินาทีคือการยื้อชีวิตของคุณให้กลับมาไวที่สุด
วิธีที่2 ไปห้องฉุกเฉินแบบหมดสติ ปลุกไม่ตื่น (GCS score<8)
ถ้าคนไข้หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น จะได้รับการตรวจโดยเร็วที่สุดเหมือนกัน เพื่อหาสาเหตุ เช่น น้ำตาลต่ำ ความดันตก เลือดออกในสมอง เป็นต้น และแก้ไขให้เร็วที่สุด
วิธีที่3 ไปห้องฉุกเฉินแบบชักกระตุกต่อเนื่องไปถึง รพ. ก็ยังไม่หยุด
ถ้าไปถึงโรงพยาบาลแล้วยังชักไม่หยุด ทีมแพทย์จะรีบให้ยาและช่วยเหลือทันที ให้ชักหยุดเร็วที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองบาดเจ็บ
ถ้าทั้ง 3 ข้อข้างบนนี้คุณทำไม่ได้ แปลว่า คุณจะ "ไม่อยู่ในคิวที่ 1" ของห้องฉุกเฉิน
แต่มันก็ดีแล้วนะครับที่ไม่เกิดขึ้น เพราะนั่นคือกลุ่มที่เรียกว่า ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Emergency Severity Index ระดับ 1) ที่ต้องได้รับการรักษาทันที
สรุปข่าว
เพจเฟซบุ๊ก "หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า" ของ นพ.ฒัชชณพงศ์ จงเจริญยานนท์ หมอเด็กเฉพาะทางโรคทางเดินหายใจและผู้ป่วยวิกฤต ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับห้องฉุกเฉิน ระบุว่า
หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ ไปถึงห้องฉุกเฉินแล้วต้องนั่งรอเป็นชั่วโมง บางคนมาทีหลัง แต่ได้แซงคิวตรวจก่อน จนเริ่มสงสัยว่า“ตกลงต้องทำยังไงถึงจะได้ตรวจก่อน?” วันนี้จะมาบอกเทคนิคให้ฟังกัน
วิธีที่1 ไปห้องฉุกเฉินแบบหัวใจไม่เต้นแล้วหรือหยุดหายใจไปแล้ว
ถ้าหัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจไปแล้ว คุณจะได้เป็นคิวแรกของห้องฉุกเฉินทันที ไม่ว่าหมอจะกำลังยุ่งแค่ไหน
จะมีทีมวิ่งเข้ามาช่วย CPR กดหน้าอก ใส่ท่อช่วยหายใจ และช็อกไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ ทุกวินาทีคือการยื้อชีวิตของคุณให้กลับมาไวที่สุด
วิธีที่2 ไปห้องฉุกเฉินแบบหมดสติ ปลุกไม่ตื่น (GCS score<8)
ถ้าคนไข้หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ปลุกไม่ตื่น จะได้รับการตรวจโดยเร็วที่สุดเหมือนกัน เพื่อหาสาเหตุ เช่น น้ำตาลต่ำ ความดันตก เลือดออกในสมอง เป็นต้น และแก้ไขให้เร็วที่สุด
วิธีที่3 ไปห้องฉุกเฉินแบบชักกระตุกต่อเนื่องไปถึง รพ. ก็ยังไม่หยุด
ถ้าไปถึงโรงพยาบาลแล้วยังชักไม่หยุด ทีมแพทย์จะรีบให้ยาและช่วยเหลือทันที ให้ชักหยุดเร็วที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองบาดเจ็บ
ถ้าทั้ง 3 ข้อข้างบนนี้คุณทำไม่ได้ แปลว่า คุณจะ "ไม่อยู่ในคิวที่ 1" ของห้องฉุกเฉิน
แต่มันก็ดีแล้วนะครับที่ไม่เกิดขึ้น เพราะนั่นคือกลุ่มที่เรียกว่า ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Emergency Severity Index ระดับ 1) ที่ต้องได้รับการรักษาทันที
สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือ ห้องฉุกเฉินไม่ได้เรียงคิวตาม “ใครมาก่อนได้ตรวจก่อน” แต่เรียงตาม “ใครอาการหนักกว่าถึงจะได้ตรวจก่อน”
ดังนั้น คนที่มาทีหลังแต่หัวใจหยุดเต้นอาจได้แซงคิวมาตรวจเป็นคนแรก กลับกัน คนที่มาเป็นคนแรกแต่อาการไม่หนัก อาจจะต้องรอคิวทั้งวันถึงจะได้ตรวจก็ได้
ระบบนี้มีชื่อว่า Emergency Severity Index (ESI) ใช้เพื่อคัดแยกความเร่งด่วนของผู้ป่วย ไม่ได้ดูว่าใครมาถึงก่อน แต่ดูว่าใครเสี่ยงต่อชีวิตมากที่สุด
ระดับของ “ความฉุกเฉินทางการแพทย์” ตาม Emergency Severity Index (ESI) แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้
ลำดับที่ 1 ฉุกเฉินวิกฤต อันตรายถึงชีวิต (Resuscitation)
คือภาวะที่ผู้ป่วย อาจเสียชีวิตได้ทันที หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ ต้องได้รับการตรวจและรักษา “ทันทีทันใด”
เช่น หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว หรือชักต่อเนื่อง
ลำดับที่ 2 ฉุกเฉินจริงและเร่งด่วน (Emergency)
เป็นกลุ่มที่มี “ความเสี่ยงสูง” เช่นกัน แต่ยังพอมีเวลารอได้เล็กน้อย จะได้รับการรักษาภายใน 20 นาที
เช่น
-ปวดศีรษะรุนแรงหรืออ่อนแรงเฉียบพลัน สงสัยหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
-เจ็บหน้าอก สงสัยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
-สงสัยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
-หายใจเหนื่อย หอบแรง
ลำดับที่ 3 ฉุกเฉินแต่ไม่เร่งด่วน (Urgency)
ยังคงเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษา แต่สามารถรอได้ระดับหนึ่ง จะได้รับการดูแลภายใน 60 นาที
เช่น ปวดท้องมาก มีแผลขนาดใหญ่ เป็นต้น
ลำดับที่ 4 เจ็บป่วยเร่งด่วน แต่ไม่ถึงขั้นฉุกเฉิน (Semi-urgency)
อาการมีผลต่อความไม่สบายตัว แต่ไม่อันตรายต่อชีวิต จะได้รับการตรวจภายใน 120–180 นาที
เช่น อาเจียนมาก เวียนหัว บ้านหมุน หรืออุบัติเหตุเล็กน้อยที่อาจจะต้องเอกซเรย์
ลำดับที่ 5 ผู้ป่วยทั่วไป ไม่ฉุกเฉิน ไม่รีบ (Non-urgency)
คือกลุ่มที่อาการไม่รุนแรง สามารถรอได้โดยไม่เกิดอันตราย เช่น ผื่นคัน เป็นหวัด มีไข้ทั่วไป หรือมาขอใบรับรองแพทย์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับการตรวจ หลังจากไม่มีผู้ป่วยระดับ 1–4 รออยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า "มักต้องรอนานมาก"
ลองทายกันดูสิครับ กลุ่มไหนในประเทศไทยที่มาห้องฉุกเฉินบ่อยที่สุด และมักไม่พอใจบุคลากรทางการแพทย์มากที่สุด?
คำตอบคือ ผู้ป่วยในลำดับที่ 4 และ 5 นั่นเอง กลุ่มนี้มักมาด้วยเหตุผลว่า มาห้องฉุกเฉินน่าจะได้ตรวจก่อนเพราะที่นี่คือห้องฉุกเฉิน แต่ในความเป็นจริง ห้องฉุกเฉินไม่ได้เรียงคิวตามลำดับการมาถึง แต่เรียงตามความเร่งด่วนของอาการ คนที่อาการหนักกว่า จะได้ตรวจก่อนเสมอ
ดังนั้น หากอาการอยู่ในระดับ 4–5 อาจต้องรอให้ทีมแพทย์ดูแลผู้ป่วยที่อาการรุนแรงกว่าก่อน
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องรอนาน และเมื่อรอนานมากเข้า หลายคนเริ่มรู้สึกว่า “ไม่มีใครสนใจ”
จนกลายเป็นโพสต์บ่นลงโซเชียลว่า “โรงพยาบาลแย่ ไม่มีคนสนใจ” แต่จริงๆแล้ว บุคลากรทางการแพทย์เค้ากำลังช่วยชีวิตผู้ป่วยคนอื่นอยู่ครับ
สรุป
- ห้องฉุกเฉินเรียงคิวตาม “ความรุนแรงของอาการ” ไม่ใช่ “ลำดับการมาถึง”
- ผู้ป่วยที่อาการอาจถึงชีวิต จะได้ตรวจก่อนทุกคน
- ถ้าอาการไม่เร่งด่วน ไปแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) จะเหมาะกว่า
เพราะในห้องฉุกเฉิน ทุกนาทีคือชีวิตของใครบางคน
- แพทย์เผย คนรุ่นใหม่วัยไม่ถึง 30 ปี เสี่ยง "หัวใจวาย" เพิ่มขึ้น 2% ต่อปี
- Holiday Heart Syndrome โรคหัวใจวายช่วงเทศกาล ใครเสี่ยง?
- "โรคหัวใจ" เปิด "อาหาร" ที่ควรรับประทาน อะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง?
- อาหาร "บำรุงหัวใจ" ให้แข็งแรง ลดเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
- หัวใจวายเฉียบพลัน! เปิดวิธีช่วยเหลือและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ที่มาข้อมูล : เพจเฟซบุ๊ก "หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า" , นพ.ฒัชชณพงศ์ จงเจริญยานนท์ หมอเด็กเฉพาะทางโรคทางเดินหายใจและผู้ป่วยวิกฤต
ที่มารูปภาพ : Envato
