
สรุปข่าว
วันนี้ (25 พ.ค.65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานการตรวจพบผู้ติดเชื้อ "โรคฝีดาษลิง" (monkeypox) ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะห้องปฏิบัติการของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมความพร้อม
ทั้งการตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อเฝ้าระวังโรคติดต่อในคน และการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ "วัคซีนฝีดาษ" หรือ "ไข้ทรพิษ" (smallpox) เพื่อให้การรับรองคุณภาพวัคซีนที่จะนำมาใช้ในการป้องกันโรค
สำหรับการการเตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยในคน นั้น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อเฝ้าระวังโรคติดต่อในคน
ได้เตรียมการตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยเทคนิค Real-time PCR ระยะเวลาการตรวจ 24-48 ชั่วโมง และการตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ ด้วยเทคนิค DNA sequencing ระยะเวลาการตรวจ 4-7 วัน
นอกจากนี้ ในส่วนของการรับรองคุณภาพวัคซีนในแต่ละรุ่นการผลิตก่อนจำหน่าย สถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความพร้อมในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพวัคซีนฝีดาษหรือไข้ทรพิษ ทั้งด้านความปลอดภัย ด้านเคมี-ฟิสิกส์ และความแรง เพื่อยืนยันว่าวัคซีนนำเข้ามีคุณภาพ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จึงมั่นใจได้ว่าหากมีการนำเข้าวัคซีนอย่างเร่งด่วน จะสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า วัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ หรือ ฝีดาษคน สามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ถึง 85% แต่เนื่องจากโรคฝีดาษคน ถูกกำจัดไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 จึงเป็นระยะเวลามากกว่า 40 ปีแล้วที่ไม่มีการฉีดวัคซีนชนิดนี้ แต่วัคซีนก็ยังมีการผลิตขึ้นเพื่อป้องกันการใช้เป็นอาวุธชีวภาพ และป้องกันโรคฝีดาษลิง
ซึ่งสหรัฐอเมริกามีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคฝีดาษคน จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ เป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ได้แก่ วัคซีน Imvamune (Imvanex หรือ Jynneos) ของบริษัท Bavarian Nordic และวัคซีน ACAM2000 ของบริษัท Acambis ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จากสหรัฐอเมริกา หรือ FDA แล้ว
ภาพจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
"โรคฝีดาษลิง" เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกันกับเชื้อโรคไข้ทรพิษ คือกลุ่ม orthopoxvirus มีอาการคล้ายกัน มีสัตว์ฟันแทะ เป็นแหล่งรังโรค ติดต่อจากสัตว์ไปสู่คน ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับเลือด น้ำเหลือง หรือผื่นของสัตว์ที่ติดเชื้อ และติดต่อจากคนไปสู่คน ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งจากการไอจาม ผื่น หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ
อาการโดยทั่วไป ผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง บางครั้งอาการคล้ายกับโรคสุกใสและหายเองได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ขณะนี้ยังไม่มีการรักษาเฉพาะ
ทั้งนี้ US-CDC ได้แนะนำให้ควบคุมโรคโดยใช้ยารักษาโรคไข้ทรพิษ ได้แก่ Tecovirimat (ST-246), Cidofovir และ brincidofovir รวมถึงการให้แอนติบดีเสริมภูมิต้านทานสำเร็จรูปชื่อ Vaccinia Immune Globulin (VIG) สำหรับรักษาผู้มีอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ หรือผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรุนแรง ทั้งนี้ยาดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการติดตามประเมินประสิทธิภาพ.
ภาพจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
- จีนผวา! พบผู้ติดเชื้อ "ฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่" 5 ราย ต้นตอจากคองโก
- รายแรก! แคนาดา ยืนยันพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิง "สายพันธุ์เคลด 1"
- WHO อนุมัติใช้ "วัคซีนฝีดาษลิง" จากบริษัทญี่ปุ่น สำหรับใช้กรณีฉุกเฉิน
- ฝีดาษลิง ในแอฟริกาพบแล้วเกือบ 3 หมื่นคน "อินเดีย" พบผู้ป่วยชนิดรุนแรงรายแรก
- สธ.ยกระดับโรค “ฉี่หนู”บนเวทีโลก ชงบรรจุเป็นโรคเขตร้อนที่ถูกละเลยของ WHO
- กรมควบคุมโรค สั่งนำเข้า วันซีนฝีดาษลิง 3,000 โดส เตรียมเริ่มใช้ในกลุ่มเสี่ยงก่อน
- สธ.พิจารณาแนวทาง "ฉีดวัคซีนฝีดาษลิง" ใครบ้างจะได้ฉีดเป็นกลุ่มแรก?
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand