หากย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามประกาศให้วันที่ 9 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันอิสรภาพโลก” (World Freedom Day)
วันสำคัญนี้ถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดการแบ่งแยกทางกายภาพระหว่างเยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตกเท่านั้น
แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์โลก ที่นำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามเย็น (Cold War) และการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
สรุปข่าว
หากย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามประกาศให้วันที่ 9 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันอิสรภาพโลก” (World Freedom Day)
วันสำคัญนี้ถูกกำหนดขึ้น เพื่อรำลึกถึงการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดการแบ่งแยกทางกายภาพระหว่างเยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตกเท่านั้น
แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์โลก ที่นำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามเย็น (Cold War) และการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
จุดเริ่มต้นของกำแพงเบอร์ลิน
กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) โดยรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก มีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่าง เบอร์ลินตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันออก
ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปี กำแพงนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ม่านเหล็ก” (Iron Curtain) ที่แบ่งโลกออกเป็นสองขั้วอุดมการณ์ ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ และยังพรากครอบครัว ผู้คน และเสรีภาพของชาวเยอรมันออกจากกัน
จุดจบของกำแพงและจุดเริ่มต้นของอิสรภาพ
ในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) กระแสการปฏิรูปทางการเมืองในยุโรปตะวันออกเริ่มรุนแรงขึ้น ประชาชนชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากออกมาประท้วงเรียกร้องเสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐาน จนในที่สุดรัฐบาลต้องยอม “เปิดพรมแดน” และอนุญาตให้ประชาชนสามารถข้ามไปยังเบอร์ลินตะวันตกได้
ค่ำคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน จึงกลายเป็น ค่ำคืนแห่งอิสรภาพ ผู้คนจากทั้งสองฝั่งหลั่งไหลมาพบกันกลางกำแพง ร่วมกันทุบทำลายมันลงด้วยมือของพวกเขาเอง ภาพของประชาชนที่ปีนขึ้นบนกำแพงเบอร์ลิน ถือธงเยอรมัน และโอบกอดกันด้วยน้ำตา กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่โลกจะไม่มีวันลืม
