กลยุทธ์ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ปรากฏการณ์แม่ค้าออนไลน์แห่งปี ไลฟ์สด 4 วัน ฟันยอดขายทะลุ 263 ล้าน

กลยุทธ์ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ปรากฏการณ์แม่ค้าออนไลน์แห่งปี ไลฟ์สด 4 วัน ฟันยอดขายทะลุ 263 ล้าน

เดือนตุลาคม 2568 ชื่อของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ไม่ได้กลับมาเพราะเพลงใหม่หรือดราม่า แต่เพราะกลายเป็นตัวจริงของวงการขายของออนไลน์ หลังจากไลฟ์สดขายสินค้าผ่าน TikTok เพียง 4 วัน สร้างยอดขายรวมกว่า 263 ล้านบาท และกลายเป็นกระแสพูดถึงทั่วประเทศ

พลังของชื่อเสียงและความจริงใจ

เจนนี่ใช้จุดแข็งจากการเป็นศิลปินที่มีแฟนคลับแน่นทั่วประเทศมาขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เปิดไลฟ์ มียอดผู้ชมพุ่งขึ้นหลักหมื่นโดยไม่ต้องลงโฆษณา การขายสินค้าด้วยสไตล์พูดตรง อารมณ์ดี และเป็นกันเอง ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนพูดคุยกับเพื่อน ไม่ใช่ฟังพนักงานขาย

อีกจุดแข็งคือ “การสร้างความน่าเชื่อถือแบบคนจริงใจ” โดยมักเชิญแขกรับเชิญอย่าง หนุ่ม กรรชัย หรือเจ้าของแบรนด์ดังมาร่วมพูดคุย เพิ่มน้ำหนักให้สินค้า และดึงกลุ่มผู้ชมใหม่เข้ามาโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังรู้จักใช้กระแสดราม่าให้เกิดประโยชน์ เปลี่ยนเสียงวิจารณ์ให้กลายเป็นแรงสนับสนุนจากแฟนคลับ

สรุปข่าว

“เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ใช้กลยุทธ์การตลาดผ่าน TikTok Live 4 วัน สร้างยอดขายกว่า 263 ล้านบาท ด้วยพลังชื่อเสียง ความจริงใจ และเทคนิคตลาดจีน ผสาน Personal Branding และ Community Economy จนกลายเป็นกรณีศึกษาการตลาดออนไลน์แห่งปี

เดือนตุลาคม 2568 ชื่อของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ไม่ได้กลับมาเพราะเพลงใหม่หรือดราม่า แต่เพราะกลายเป็นตัวจริงของวงการขายของออนไลน์ หลังจากไลฟ์สดขายสินค้าผ่าน TikTok เพียง 4 วัน สร้างยอดขายรวมกว่า 263 ล้านบาท และกลายเป็นกระแสพูดถึงทั่วประเทศ

พลังของชื่อเสียงและความจริงใจ

เจนนี่ใช้จุดแข็งจากการเป็นศิลปินที่มีแฟนคลับแน่นทั่วประเทศมาขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาดอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เปิดไลฟ์ มียอดผู้ชมพุ่งขึ้นหลักหมื่นโดยไม่ต้องลงโฆษณา การขายสินค้าด้วยสไตล์พูดตรง อารมณ์ดี และเป็นกันเอง ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนพูดคุยกับเพื่อน ไม่ใช่ฟังพนักงานขาย

อีกจุดแข็งคือ “การสร้างความน่าเชื่อถือแบบคนจริงใจ” โดยมักเชิญแขกรับเชิญอย่าง หนุ่ม กรรชัย หรือเจ้าของแบรนด์ดังมาร่วมพูดคุย เพิ่มน้ำหนักให้สินค้า และดึงกลุ่มผู้ชมใหม่เข้ามาโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังรู้จักใช้กระแสดราม่าให้เกิดประโยชน์ เปลี่ยนเสียงวิจารณ์ให้กลายเป็นแรงสนับสนุนจากแฟนคลับ

ไลฟ์มาราธอนที่กลายเป็นตำนาน

แคมเปญไลฟ์ขายของ 4 วันติดต่อกันถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยวันสุดท้ายเพียงวันเดียวมียอดขายสูงถึง 126 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการวางแผนที่แน่นหนาและการประยุกต์เทคนิคจิตวิทยาการตลาดแบบจีน เช่น การพูดกระตุ้นให้รีบซื้อ “ใครยังไม่กดคือพลาด” หรือ “ของมีจำนวนจำกัด” พร้อมปักตะกร้าให้สั่งซื้อได้ทันที ทำให้การขายเต็มไปด้วยความเร้าใจ สนุก และมีจังหวะเหมือนดูคอนเสิร์ต

แบรนด์ที่ต้องการให้เจนนี่รีวิวสินค้าเริ่มต้นที่ 50,000 บาทต่อสินค้า หรือคิดตามยอดขายจริง ถือเป็นระบบที่แฟร์ทั้งสองฝ่าย เพราะทุกยอดขายสามารถวัดผลได้ทันที

อาณาจักรธุรกิจที่เติบโตจากความกล้าและความขยัน

จากนักร้องบ้านๆ ปัจจุบันเจนนี่บริหารธุรกิจในเครือถึง 3 บริษัท ได้แก่

1. ได้หมดถ้าสดชื่น จำกัด – ค่ายเพลงและคอนเทนต์บันเทิง

2. มูชิน จำกัด – ผลิตอาหารแปรรูปและของกินยอดนิยม

3. เจนนี่โอเค จำกัด – ธุรกิจอาหารเสริมและเครื่องสำอาง

ปี 2567 ทั้งสามบริษัทมีรายได้รวมกว่า 292 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวมราว 48 ล้านบาท โดย “เจนนี่โอเค” เป็นเสาหลักที่สร้างรายได้มากที่สุดในเครือ

ดราม่าไม่ใช่ปัญหา แต่คือพลังขายของ

หลายคนอาจมองว่าดราม่าทำให้แบรนด์เสียหาย แต่ในกรณีของเจนนี่กลับตรงกันข้าม ทุกครั้งที่มีกระแส กลับใช้ช่วงเวลานั้นสร้างคอนเทนต์ใหม่ให้คนหันกลับมาดูอีกครั้ง แฟนคลับจำนวนมากร่วมแชร์และอุดหนุนสินค้า จนกลายเป็นพลังการตลาดที่เงินซื้อไม่ได้

หนึ่งในทีมสำคัญคือ บูม หมูทะ ที่ได้รับค่าจ้างเดือนละ 3 ล้านบาท เพื่อร่วมสร้างสีสันในไลฟ์สด ถือเป็นตัวอย่างชัดเจนของการลงทุนกับคนที่สามารถสร้างยอดขายได้จริง

บทเรียนจาก “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น”

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือ “การตลาดแบบเข้าใจคนดู” เจนนี่รู้จังหวะของโซเชียล มีความจริงใจ และใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องมือทางธุรกิจอย่างทรงพลัง

โมเดลนี้คือการผสมผสานระหว่าง Personal Branding และ Community Economy ที่แฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่กลายเป็นลูกค้าและทีมโปรโมตไปในตัว ยิ่งสื่อสารด้วยความจริงใจ ยิ่งขายได้โดยไม่ต้องพึ่งกลยุทธ์ซับซ้อน

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น

บรรณาธิการออนไลน์