ไทยชี้ชัด “เด็ดขาดได้อีก” ท่าทีใหม่บนเส้นบางระหว่างสันติภาพกับความมั่นคง

Share on Line Share on Facebook Share on X
ไทยชี้ชัด “เด็ดขาดได้อีก” ท่าทีใหม่บนเส้นบางระหว่างสันติภาพกับความมั่นคง

สมช.มีมติระงับปฏิญญาไทย–กัมพูชา

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อพิจารณามาตรการตอบโต้กรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ชายแดน โดยใช้เวลาหารือกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง

หลังการประชุม พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงร่วมกันว่า สมช.เห็นชอบให้ “ระงับปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” หรือปฏิญญาความร่วมมือไทย–กัมพูชา ทั้ง 4 ข้อ และยุติการส่งมอบเชลยศึกคืนให้กัมพูชา พร้อมมอบอำนาจให้กองทัพสามารถปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ได้ตามสถานการณ์ โดยไม่เปิดเผยรายละเอียดทางยุทธการ

พลเอก ณัฐพล กล่าวว่า การสูญเสียกำลังพลของไทยเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเหตุเกิดในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงและกระทบต่อศักดิ์ศรีของชาติ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะปกป้องชีวิตประชาชนและดินแดนไทยเต็มความสามารถ

ไทยเรียกร้องกัมพูชารับผิดชอบ–ย้ำละเมิดข้อตกลง

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ระบุว่า เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดถือเป็นการละเมิดปฏิญญาไทย–กัมพูชา ซึ่งเคยใช้เป็นกรอบสันติภาพร่วมกัน ไทยจึงมีมติระงับการปฏิบัติตามปฏิญญา ยกเว้นภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ไทยที่ยังดำเนินต่อเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อ นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงโดยตรง ทั้งนี้ไทยจะส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง รวมถึงประท้วงภายใต้อนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิด เพื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจเหตุผลที่ไทยต้องระงับปฏิญญา

นอกจากนี้ ไทยจะชี้แจงต่อสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศสักขีพยานร่วมลงนามในปฏิญญาฉบับดังกล่าว เพื่อยืนยันจุดยืนของไทยและเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ เช่น การกล่าวขอโทษและการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมออกมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

“บิ๊กเล็ก” ลั่นไม่เจรจาอีก–อุบรายละเอียดการทหาร

พลเอก ณัฐพล ยืนยันว่า ที่ประชุม สมช. ให้อำนาจกองทัพสามารถปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่อธิปไตยของไทยได้ตามสถานการณ์ โดยไม่เปิดเผยรายละเอียด พร้อมระบุว่ามาตรการนี้ถือเป็นการยกระดับการตอบโต้แล้ว

เมื่อถูกถามถึงการเจรจากับกัมพูชา พลเอก ณัฐพล กล่าวชัดว่า จะไม่มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา (GBC) อีก โดยถือว่าการหารือครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนการดำเนินการทางการทูตจะเป็นไปตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ

เขายังย้ำว่าการถอนอาวุธหนักได้ถูก “ระงับไว้แล้ว” และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีการนำอาวุธกลับไปประจำการหรือไม่ พลเอก ณัฐพลกล่าวเพียงว่า “ขอไม่ตอบในรายละเอียด”



สรุปข่าว

สมช.เห็นชอบระงับ “ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” ไทย–กัมพูชา หลังเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิด นายกฯมอบกลาโหมเตรียมปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ ขณะ “สีหศักดิ์” เรียกร้องกัมพูชารับผิดชอบและขอโทษต่อเหตุการณ์ ด้าน “บิ๊กเล็ก” ย้ำไม่เจรจาอีก

สมช.มีมติระงับปฏิญญาไทย–กัมพูชา

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อพิจารณามาตรการตอบโต้กรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ชายแดน โดยใช้เวลาหารือกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง

หลังการประชุม พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงร่วมกันว่า สมช.เห็นชอบให้ “ระงับปฏิญญากัวลาลัมเปอร์” หรือปฏิญญาความร่วมมือไทย–กัมพูชา ทั้ง 4 ข้อ และยุติการส่งมอบเชลยศึกคืนให้กัมพูชา พร้อมมอบอำนาจให้กองทัพสามารถปฏิบัติการทางทหารตอบโต้ได้ตามสถานการณ์ โดยไม่เปิดเผยรายละเอียดทางยุทธการ

พลเอก ณัฐพล กล่าวว่า การสูญเสียกำลังพลของไทยเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเหตุเกิดในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงและกระทบต่อศักดิ์ศรีของชาติ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะปกป้องชีวิตประชาชนและดินแดนไทยเต็มความสามารถ

ไทยเรียกร้องกัมพูชารับผิดชอบ–ย้ำละเมิดข้อตกลง

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ระบุว่า เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดถือเป็นการละเมิดปฏิญญาไทย–กัมพูชา ซึ่งเคยใช้เป็นกรอบสันติภาพร่วมกัน ไทยจึงมีมติระงับการปฏิบัติตามปฏิญญา ยกเว้นภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ไทยที่ยังดำเนินต่อเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อ นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงโดยตรง ทั้งนี้ไทยจะส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง รวมถึงประท้วงภายใต้อนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิด เพื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจเหตุผลที่ไทยต้องระงับปฏิญญา

นอกจากนี้ ไทยจะชี้แจงต่อสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศสักขีพยานร่วมลงนามในปฏิญญาฉบับดังกล่าว เพื่อยืนยันจุดยืนของไทยและเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ เช่น การกล่าวขอโทษและการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมออกมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

“บิ๊กเล็ก” ลั่นไม่เจรจาอีก–อุบรายละเอียดการทหาร

พลเอก ณัฐพล ยืนยันว่า ที่ประชุม สมช. ให้อำนาจกองทัพสามารถปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่อธิปไตยของไทยได้ตามสถานการณ์ โดยไม่เปิดเผยรายละเอียด พร้อมระบุว่ามาตรการนี้ถือเป็นการยกระดับการตอบโต้แล้ว

เมื่อถูกถามถึงการเจรจากับกัมพูชา พลเอก ณัฐพล กล่าวชัดว่า จะไม่มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา (GBC) อีก โดยถือว่าการหารือครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนการดำเนินการทางการทูตจะเป็นไปตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ

เขายังย้ำว่าการถอนอาวุธหนักได้ถูก “ระงับไว้แล้ว” และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีการนำอาวุธกลับไปประจำการหรือไม่ พลเอก ณัฐพลกล่าวเพียงว่า “ขอไม่ตอบในรายละเอียด”



“สีหศักดิ์” ชี้ไทยเด็ดขาดแล้ว–แต่พร้อมเด็ดขาดกว่านี้

นายสีหศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การระงับปฏิญญาครั้งนี้ถือเป็นมาตรการที่เด็ดขาดของฝ่ายไทย และจะพิจารณายกระดับเพิ่มขึ้นหากกัมพูชาไม่ตอบสนองอย่างมีความรับผิดชอบ โดยย้ำว่า “ไทยชัดเจนแล้ว แต่เด็ดขาดได้อีก”

ทั้งนี้ ไทยจะยังดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในฝั่งไทยต่อไปผ่านศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ซึ่งขณะนี้ดำเนินการในพื้นที่นำร่องแล้ว 4 แห่งจากทั้งหมด 5 แห่ง โดยยังรอการตอบรับจากฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่สุดท้าย

จุดยืนไทย ปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว

สำหรับมาตรการตอบโต้ในระยะต่อไป พลเอก ณัฐพล ระบุว่า หากพบการรุกล้ำหรือรื้อแนวลวดหนามในพื้นที่อธิปไตยไทย จะมีการใช้กำลังตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง โดยอาจใช้ทั้งอาวุธเบาและอาวุธหนักตามความจำเป็น พร้อมยืนยันว่ากองทัพไทยได้รับมติรับรองจาก สมช. ให้ดำเนินการทางทหารได้ภายใต้กรอบการปกป้องอธิปไตยของชาติ

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์

แท็กบทความ