
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วงการอีคอมเมิร์ซไทยตกอยู่ในกระแสความขัดแย้งอย่างเข้มข้น หลังมีผู้ประกอบการและบุคคลในแวดวงธุรกิจบางรายออกมาเคลื่อนไหว โจมตีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติรายใหญ่ โดยอ้างเหตุผลเรื่องการผูกขาดตลาด และการทำลายโอกาสของผู้ประกอบการไทยและ SMEs จนประเด็นดังกล่าวถูกขยายไปสู่ระดับนโยบายและการเมืองในเวลาอันรวดเร็ว
หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับตาอย่างมาก คือ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้ง Tarad.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทยยุคบุกเบิก ซึ่งออกมาแสดงบทบาทอย่างชัดเจนในฐานะผู้วิพากษ์แพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop โดยชี้ว่าระบบของแพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติอย่างถาวร
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในช่วงกว่า 10–15 ปีก่อน Tarad.com เคยเป็นหนึ่งในความหวังของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทย ก่อนจะเผชิญการแข่งขันจากผู้เล่นระดับภูมิภาคที่มีเงินทุน เทคโนโลยี และกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหนือกว่า จนนำไปสู่การขายกิจการให้ Rakuten และแม้จะมีการซื้อกิจการกลับมาในภายหลัง แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันได้ในยุคที่ตลาดอีคอมเมิร์ซเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สรุปข่าว
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วงการอีคอมเมิร์ซไทยตกอยู่ในกระแสความขัดแย้งอย่างเข้มข้น หลังมีผู้ประกอบการและบุคคลในแวดวงธุรกิจบางรายออกมาเคลื่อนไหว โจมตีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติรายใหญ่ โดยอ้างเหตุผลเรื่องการผูกขาดตลาด และการทำลายโอกาสของผู้ประกอบการไทยและ SMEs จนประเด็นดังกล่าวถูกขยายไปสู่ระดับนโยบายและการเมืองในเวลาอันรวดเร็ว
หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับตาอย่างมาก คือ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้ก่อตั้ง Tarad.com แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทยยุคบุกเบิก ซึ่งออกมาแสดงบทบาทอย่างชัดเจนในฐานะผู้วิพากษ์แพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Shopee, Lazada และ TikTok Shop โดยชี้ว่าระบบของแพลตฟอร์มเหล่านี้กำลังสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติอย่างถาวร
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในช่วงกว่า 10–15 ปีก่อน Tarad.com เคยเป็นหนึ่งในความหวังของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทย ก่อนจะเผชิญการแข่งขันจากผู้เล่นระดับภูมิภาคที่มีเงินทุน เทคโนโลยี และกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหนือกว่า จนนำไปสู่การขายกิจการให้ Rakuten และแม้จะมีการซื้อกิจการกลับมาในภายหลัง แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันได้ในยุคที่ตลาดอีคอมเมิร์ซเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หลังปี 2561 เป็นต้นมา โครงสร้างการแข่งขันของอีคอมเมิร์ซไทยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แพลตฟอร์มขนาดใหญ่สามารถสร้างความได้เปรียบผ่านระบบโลจิสติกส์ที่รวดเร็ว ค่าขนส่งต่ำ เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ทันสมัย รวมถึงการอุดหนุนโปรโมชั่นและคูปอง ทำให้ผู้บริโภคและผู้ค้า SMEs จำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่แพลตฟอร์มเหล่านี้ ขณะที่แพลตฟอร์มไทยจำนวนหนึ่งไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จนต้องทยอยถอนตัวออกจากตลาด
ในบริบทนี้ การกลับมาเคลื่อนไหวของภาวุธในฐานะผู้ปกป้อง SMEs และผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ จึงถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อบทบาทของเขาขยายไปสู่การเป็นนักลงทุนในสตาร์ทอัพเทคโนโลยีจำนวนมาก และการก้าวเข้าสู่สนามการเมืองในระดับหนึ่ง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการผลักดันนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการสร้างอำนาจต่อรองใหม่ในเกมธุรกิจและการเมือง
ขณะเดียวกัน เรื่องเล่าดังกล่าวยังถูกขยายอย่างรวดเร็วผ่านสื่อออนไลน์ อินฟลูเอนเซอร์ และเพจการเมืองบางกลุ่ม จนเกิดสภาพคล้าย “สงครามข้อมูล” ที่เน้นอารมณ์และการสร้างภาพความขัดแย้ง ระหว่างแพลตฟอร์มต่างชาติกับผู้ประกอบการไทย โดยที่ข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้างของตลาดอีคอมเมิร์ซยังไม่ได้รับการถกเถียงอย่างรอบด้าน
สงครามแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงคำถามเรื่องความเป็นธรรมทางการค้าเท่านั้น แต่ยังสะท้อนการแข่งขันเชิงอำนาจระหว่างผู้เล่นเดิม ผู้เล่นใหม่ กลุ่มการเมือง และสื่อออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดกำลังใช้ประเด็น “แพลตฟอร์มต่างชาติ” เป็นศูนย์กลางของการต่อรองผลประโยชน์ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
- ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศจำนวนสมาชิก สส. แบ่งเขตทั่วประเทศของแต่ละจังหวัด
- จับตายุบสภา รัฐบาลอนุทินกับเดดไลน์ 4 เดือนตาม MOA
- กกต.เตือนเข้มทุกพรรค ห้ามซื้อเสียง–เลี่ยงกฎหมายเลือกตั้ง
- พรรคประชาชน เปิดชื่อ 3 แคนดิเดตนายกฯ "เท้ง-ไหม-ต้น" พร้อมลงสนามเลือกตั้ง
- จับสัญญาณยุบสภา ภูมิใจไทยเปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ–อนุทินลุยเหนือ
