
“ริบบิ้นขาว” อาจดูเป็นเพียงสัญลักษณ์เล็ก ๆ แต่แท้จริงแล้วมันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่หลายคนคิด เพราะทุกวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี คือ “วันริบบิ้นขาว” (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี” (National Day of Remembrance and Action on Violence Against Women)
วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของประเทศแคนาดา และเป็นหนึ่งในวันที่ทั่วโลกใช้เพื่อ รำลึกถึงเหยื่อผู้หญิงที่ตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงทางเพศ พร้อมทั้งส่งเสียงให้สังคมตระหนักถึง “สิทธิ ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีของผู้หญิงทุกคน”
สรุปข่าว
“ริบบิ้นขาว” อาจดูเป็นเพียงสัญลักษณ์เล็ก ๆ แต่แท้จริงแล้วมันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่หลายคนคิด เพราะทุกวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี คือ “วันริบบิ้นขาว” (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี” (National Day of Remembrance and Action on Violence Against Women)
วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของประเทศแคนาดา และเป็นหนึ่งในวันที่ทั่วโลกใช้เพื่อ รำลึกถึงเหยื่อผู้หญิงที่ตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงทางเพศ พร้อมทั้งส่งเสียงให้สังคมตระหนักถึง “สิทธิ ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีของผู้หญิงทุกคน”
จุดเริ่มต้นจากโศกนาฏกรรม
วันริบบิ้นขาวเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สะเทือนใจในประวัติศาสตร์แคนาดา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) มีเหตุการณ์กราดยิงที่ วิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งมอนทรีออล (École Polytechnique) ผู้ก่อเหตุได้บุกเข้าไปในห้องเรียน และสังหารนักศึกษาหญิงถึง 14 คน ก่อนจะจบชีวิตตัวเอง พร้อมทิ้งข้อความไว้ว่า “เขาเกลียดผู้หญิงที่เรียกร้องสิทธิสตรี”
เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจให้ทั้งประเทศและทั่วโลก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวระดับชาติ เพื่อต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงในทุกรูปแบบ สามปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) รัฐบาลแคนาดาได้ประกาศให้วันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี” อย่างเป็นทางการ
แนวคิด “White Ribbon Campaign” ได้ขยายตัวไปยังหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลีย องค์กรต่าง ๆ นำริบบิ้นขาวมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์ ไม่เพียงเพื่อต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริม “สันติภาพ” และ “การอยู่ร่วมกันอย่างเคารพ”
