
สรุปข่าว
จากกรณีดรามาการรูปปั้นยักษ์โบราณอายุเก่าแก่กว่า 500 ปี ที่ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นสู่อุโมงค์ของวัด ซึ่งในปัจจุบันถูกบูรณะโบกปูนทับใหม่ ทำให้ของโบราณกลายเป็นลักษณะของรูปปั้นมีขาวที่ดูเหมือนของใหม่มากกว่าของเก่าเกิดเป็นกระแสไวรัลที่แชร์กันในโลกโซเชียลในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดย เจ้าอาวาสวัดระบุว่าเป็นการบูรณะของสำนักศิลปากรที่ 7 เนื่องจากรูปปั้นทั้งสององค์ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ

ล่าสุดในวันนี้ นายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้น ผ่านทางโทรศัพท์ว่าการบูรณะมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ ได้ไปพบรูปปั้นยักษ์ทวารบาลที่วัดอุโมงค์ และเห็นว่าอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงประสานแจ้งมาที่สำนักศิลปากรที่ 7 เพื่อเข้าตรวจสอบและหาแนวทางในการบูรณะ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานที่สำคัญของเชียงใหม่
ต่อมาสำนักศิลปากรที่ 7 เข้าตรวสอบ พบรูปปั้นยักษ์ทั้งสององค์เป็นประติมากรรมปูนปั้นแบบลอยตัวทวาลบาร หรือ ยักษ์เฝ้ารักษาประตูทางเข้าสู่พระธาตุวัดอุโมงค์ เป็นงานปูนปั้นที่ใช้วัสดุก่ออิฐถือปูน เป็นโครงสร้างหลักและปั้นปูนขึ้นหุ่นองค์ ก่อนที่จะตกแต่งลวดลายด้วยปูนหมัก ไม่สามารถทราบอายุการสร้างได้ รูปแบบทางศิลปกรรมแบบพม่า – ไทใหญ่ โดยพบว่าทั้งสององค์อยู่ในสภาพเสียหายหนัก ปูนปั้นเสื่อมสภาพ ไม่ยึดเกาะกับโครงสร้างก่ออิฐภายใน ปูนปั้นโดยทั่วองค์มีรอยแตกร้าว และเนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง และอยู่ในสภาพป่าดิบชื้น ทำให้น้ำฝนไหลซึมเข้าสู่ด้านในโครงสร้าง ทำให้แกนอิฐก่อขึ้นรูปองค์ภายในสึกกร่อน มีเชื้อราดำ ตะไคร่น้ำและวัชพืช ขึ้นเกือบทั้งองค์ ผิวปูนปั้นปรากฏวัสดุมวลรวมหยาบ (กรวด เม็ดทราย) ลอยตัวขึ้นมาจากเนื้อปูนปั้น
หลังจากนั้นจึงมีการประเมินแนวทางในการบูรณะ โดยมีทางเลือกสองทางคือการบูรณะ โดยการอนุรักษ์รักษาสภาพ หากเลือกแนวทางนี้ จะรักษาสภาพปัจจุบันก่อนการอนุรักษ์ไว้ได้ในระยะหนึ่ง แต่หากมีเหตุการณ์ในอนาคตที่มีความเร่งในการพัง ชำรุด เช่น ฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ขาดการดูแลรักษา ปล่อยให้วัชพืชขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยที่เร่งการพังชำรุดเร็วขึ้น

ส่วนแนวคิดที่ 2 คือการบูรณะโดยการ “ฟื้นคืนสภาพ” เมื่อพิจารณาการสภาพก่อนการบูรณะ ซึ่งมีหลักฐานทางศิลปกรรมหลงเหลืออยู่มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับการวิเคราะห์การเสื่อมสภาพของวัสดุเดิม สภาพแวดล้อมโดยรอบ ปัจจัยความเสี่ยงอื่นในอนาคต ที่จะเร่งให้เกิดความเสียหาย การใช้ประโยชน์ของโบราณสถานในปัจจุบัน คติความเชื่อ และในอดีตที่ผ่านมา มีการเลือกแนวทางการบูรณะแบบฟื้นคืนสภาพนี้มาแล้วหลายแห่ง เช่น องค์พระมงคลบพิตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์พระอจนะวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย จากเหตุผลและการประเมินนี้แล้ว จึงเลือกที่จะดำเนินการบูรณะในแนวทางนี้
นายเทอดศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเลือกบูรณะด้วยการฟื้นคืนสภาพ จะช่วยให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหนักไปกว่านี้ ส่วนภาพที่ถูกเผยแพร่ในสื่อ ที่เป็นภาพก่อนและหลังบูรณะ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยพบว่ามีการนำภาพที่องค์ซ้าย ที่ยังไม่ได้บูรณะไปเปรียบเทียบกับองค์ขวา ที่มีการบูรณะเสร็จแล้ว จึงทำให้ดูไม่เหมือนแบบเดิม ทั้งนี้ยืนยันการบูรณะมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว
ข้อมูลจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดเชียงใหม่
ภาพจาก: ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดเชียงใหม่
- ขุดพบแผ่นทองคำดุนภาพพระพุทธรูป อายุกว่า 1,300 ปี เมืองโคราช
- กลับคืนสู่ประวัติศาสตร์ของชาติ 4 โบราณวัตถุประโคนชัย เตรียมส่งคืนแผ่นดินไทย
- ครม.มีมติอนุมัติคืนโบราณวัตถุ 20 รายการให้ ‘กัมพูชา’ ตามข้อตกลงทวิภาคี
- ครม. เห็นชอบให้ วธ. รับมอบโบราณวัตถุ 2 รายการ กลับคืนให้ประเทศไทย
- ที่เที่ยวเชียงใหม่ ‘จุดชมวิวดอยดำ’ Unseen แห่งใหม่เมืองเหนือ
- "ดอยอินทนนท์" เปิดจองลานกางเต็นท์ เริ่ม 15 ธ.ค. 65- 15 ม.ค. 66
- เชียงใหม่น่าเที่ยว! เข้าฤดูหนาวเป็นทางการ ‘ดอยอินทนนท์’ ฟ้าเปิดสวยงาม
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand