
หากจะพูดถึงหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งใน พ.ศ. นี้ พิสูจน์ตัวเองมาอย่างยาวนานหลายปี แต่กลับไม่เคยเป็นแชมป์รายการอะไรเลยแม้แต่รายการเดียว ไม่ว่าจะเป็นแชมป์เล็กหรือใหญ่ต่างก็ไม่เคยได้สัมผัส ชื่อของ แฮร์รี่ เคน ยอมต้องโผล่ขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย หรือบางทีอาจจะเป็นชื่อเดียวที่นึกออกในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม วันนี้ แฮร์รี่ เคน ล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จแล้ว หลังจากที่เพิ่งจะคว้าแชมป์แรกในอาชีพของตนเองมาครองได้กับ บาเยิร์น มิวนิค หลังทีมเสือใต้ชูดถาดแชมป์อย่างเป็นทางการไปแล้วเรียบร้อย เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังเปิดบ้านเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปได้ 2-0 ซึ่ง เคน ทำได้ 1 ประตูในเกมนัดดังกล่าวด้วย
วันนี้เราจะมาย้อนรอยเรื่องราวชีวิตของกองหน้าทีมชาติอังกฤษรายนี้กันว่าเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลอย่างไร ก่อนจะพิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นยอดกองหน้าเบอร์ต้นของวงการ และความผิดหวังซ้ำซาก ก่อนจะคว้าแชมป์แรกของตัวเองได้ในที่สุด
แฮร์รี่ เคน มีชื่อเต็มๆ ว่า แฮร์รี่ เอ็ดเวิร์ด เคน เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 1993 กำลังจะอายุครบ 32 ปีเต็มอีกราวๆ 2 เดือนต่อจากนี้ เจ้าตัวเป็นลอนดอนเนอร์โดยกำเนิด มีพี่ชายหนึ่งคนชื่อว่า ชาร์ลี โดย เคน มีเชื้อสายไอริชที่ได้มาจากทางฝั่งคุณพ่อ แพทริก เคน ซึ่งเป็นคนจากเมือง กัลเวย์ เมืองท่าที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของสาธาณรัฐไอร์แลนด์
เคน เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบ กับสโมสรท้องถิ่นอย่าง ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส ซึ่งเจ้าตัวเคยพูดถึงความสามารถในการเล่นฟุตบอลของตัวเองว่า น่าจะได้รับการสืบทอดมาจากทางฝั่งคุณแม่ของตนเองมากกว่า ซึ่งถ้าพูดขึ้นมาเมื่อไหร่จะกลายเป็นหัวข้อที่ครอบครัวจะถกเถียงกันอย่างดุเดือดทันที
เคน เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ผมคิดว่าผมได้ยีนด้านกีฬามาจากฝั่งของแม่นะ พ่อคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้เท่าไหร่ แต่ผมคิดว่า เอริค คุณตาของผมเป็นนักฟุตบอลที่ดีมากคนหนึ่งเลยล่ะ และเล่นฟุตบอลในระดับที่สูงพอควรเลยทีเดียว"
เคน ยังเผยอีกด้วยว่าเขาเป็นแฟนบอล ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาตั้งแต่เด็ก เพราะในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นแฟนไก่เดือยทองเกือบหมด แถมบ้านก็ยังห่างจาก ไวท์ ฮาร์ท เลน แค่ 15 นาที และแน่นอนว่า เคน มี เท็ดดี้ เชอริงแฮม ตำนานกองหน้าทีมชาติอังกฤษและ สเปอร์ส รวมถึง แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นไอดอล
เคน เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตอนอายุ 6 ขวบ และที่น่าสนใจก็คือเขาได้เข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของทีมคู่ปรับตลอดกาลของ สเปอร์ส อย่าง อาร์เซน่อล ในตอนที่มีอายุ 8 ขวบ แต่อย่างไรก็ตาม เคน ได้อยู่กับทีมเยาวชนของปืนใหญ่แค่ปีเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมาเนื่องจากถูกมองว่าอ้วนเกินไปหน่อย และไม่มีแววของความเป็นนักกีฬา ซึ่งคนที่เปิดเผยเรื่องนี้ก็คือ เลียม เบรดี้ อดีตตำนาน "ซ้ายฟ้าสั่ง" ของ อาร์เซน่อล ที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นโค้ชทีมเยาวชน
แน่นอนว่า เคน เคยไปทดสอบฝีเท้ากับ สเปอร์ส ด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ทำให้เขากลับมาอยู่กับ ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส์ อีกครั้ง หลังจากนั้นวันเวลาผ่านไปอีก 3 ปี เคน อายุได้ 11 ขวบ เขาได้รับโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับทีมอะคาเดมี่ของ วัตฟอร์ด เป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ และได้สร้างความประทับใจให้กับแมวมองของ สเปอร์ส ในระหว่างที่ลงเล่นให้ วัตฟอร์ด เจอกับทีมเยาวชนของไก่เดือยทอง
นั่นทำให้เส้นทางของ เคน กับ สเปอร์ส เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้น แต่ตำแหน่งแรกที่ เคน เล่นให้กับ สเปอร์ส กลับไม่ใช่กองหน้า แต่เป็นกองกลางตัวโฮลด์บอล ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะปรับขึ้นไปเล่นเป็นกองกลางตัวรุก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราถึงเห็นว่า เคน ซึ่งเป็นกองหน้าตัวเป้าระดับเวิลด์คลาส ถึงมีความสามารถในการเล่นเป็นเบอร์ 10 ที่ยอดเยี่ยมด้วย
สรุปข่าว
หากจะพูดถึงหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งใน พ.ศ. นี้ พิสูจน์ตัวเองมาอย่างยาวนานหลายปี แต่กลับไม่เคยเป็นแชมป์รายการอะไรเลยแม้แต่รายการเดียว ไม่ว่าจะเป็นแชมป์เล็กหรือใหญ่ต่างก็ไม่เคยได้สัมผัส ชื่อของ แฮร์รี่ เคน ยอมต้องโผล่ขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย หรือบางทีอาจจะเป็นชื่อเดียวที่นึกออกในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม วันนี้ แฮร์รี่ เคน ล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จแล้ว หลังจากที่เพิ่งจะคว้าแชมป์แรกในอาชีพของตนเองมาครองได้กับ บาเยิร์น มิวนิค หลังทีมเสือใต้ชูดถาดแชมป์อย่างเป็นทางการไปแล้วเรียบร้อย เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังเปิดบ้านเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปได้ 2-0 ซึ่ง เคน ทำได้ 1 ประตูในเกมนัดดังกล่าวด้วย
วันนี้เราจะมาย้อนรอยเรื่องราวชีวิตของกองหน้าทีมชาติอังกฤษรายนี้กันว่าเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลอย่างไร ก่อนจะพิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นยอดกองหน้าเบอร์ต้นของวงการ และความผิดหวังซ้ำซาก ก่อนจะคว้าแชมป์แรกของตัวเองได้ในที่สุด
แฮร์รี่ เคน มีชื่อเต็มๆ ว่า แฮร์รี่ เอ็ดเวิร์ด เคน เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 1993 กำลังจะอายุครบ 32 ปีเต็มอีกราวๆ 2 เดือนต่อจากนี้ เจ้าตัวเป็นลอนดอนเนอร์โดยกำเนิด มีพี่ชายหนึ่งคนชื่อว่า ชาร์ลี โดย เคน มีเชื้อสายไอริชที่ได้มาจากทางฝั่งคุณพ่อ แพทริก เคน ซึ่งเป็นคนจากเมือง กัลเวย์ เมืองท่าที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของสาธาณรัฐไอร์แลนด์
เคน เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบ กับสโมสรท้องถิ่นอย่าง ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส ซึ่งเจ้าตัวเคยพูดถึงความสามารถในการเล่นฟุตบอลของตัวเองว่า น่าจะได้รับการสืบทอดมาจากทางฝั่งคุณแม่ของตนเองมากกว่า ซึ่งถ้าพูดขึ้นมาเมื่อไหร่จะกลายเป็นหัวข้อที่ครอบครัวจะถกเถียงกันอย่างดุเดือดทันที
เคน เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ผมคิดว่าผมได้ยีนด้านกีฬามาจากฝั่งของแม่นะ พ่อคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้เท่าไหร่ แต่ผมคิดว่า เอริค คุณตาของผมเป็นนักฟุตบอลที่ดีมากคนหนึ่งเลยล่ะ และเล่นฟุตบอลในระดับที่สูงพอควรเลยทีเดียว"
เคน ยังเผยอีกด้วยว่าเขาเป็นแฟนบอล ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาตั้งแต่เด็ก เพราะในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นแฟนไก่เดือยทองเกือบหมด แถมบ้านก็ยังห่างจาก ไวท์ ฮาร์ท เลน แค่ 15 นาที และแน่นอนว่า เคน มี เท็ดดี้ เชอริงแฮม ตำนานกองหน้าทีมชาติอังกฤษและ สเปอร์ส รวมถึง แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นไอดอล
เคน เริ่มต้นเล่นฟุตบอลตอนอายุ 6 ขวบ และที่น่าสนใจก็คือเขาได้เข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของทีมคู่ปรับตลอดกาลของ สเปอร์ส อย่าง อาร์เซน่อล ในตอนที่มีอายุ 8 ขวบ แต่อย่างไรก็ตาม เคน ได้อยู่กับทีมเยาวชนของปืนใหญ่แค่ปีเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมาเนื่องจากถูกมองว่าอ้วนเกินไปหน่อย และไม่มีแววของความเป็นนักกีฬา ซึ่งคนที่เปิดเผยเรื่องนี้ก็คือ เลียม เบรดี้ อดีตตำนาน "ซ้ายฟ้าสั่ง" ของ อาร์เซน่อล ที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นโค้ชทีมเยาวชน
แน่นอนว่า เคน เคยไปทดสอบฝีเท้ากับ สเปอร์ส ด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ทำให้เขากลับมาอยู่กับ ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส์ อีกครั้ง หลังจากนั้นวันเวลาผ่านไปอีก 3 ปี เคน อายุได้ 11 ขวบ เขาได้รับโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับทีมอะคาเดมี่ของ วัตฟอร์ด เป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ และได้สร้างความประทับใจให้กับแมวมองของ สเปอร์ส ในระหว่างที่ลงเล่นให้ วัตฟอร์ด เจอกับทีมเยาวชนของไก่เดือยทอง
นั่นทำให้เส้นทางของ เคน กับ สเปอร์ส เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้น แต่ตำแหน่งแรกที่ เคน เล่นให้กับ สเปอร์ส กลับไม่ใช่กองหน้า แต่เป็นกองกลางตัวโฮลด์บอล ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะปรับขึ้นไปเล่นเป็นกองกลางตัวรุก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราถึงเห็นว่า เคน ซึ่งเป็นกองหน้าตัวเป้าระดับเวิลด์คลาส ถึงมีความสามารถในการเล่นเป็นเบอร์ 10 ที่ยอดเยี่ยมด้วย
ในช่วงแรกกับ สเปอร์ส นั้น เคน ไม่ใช่นักเตะที่มีรูปร่างสูงใหญ่หรือมีความเร็วสูง แต่หลายคนที่เคยเล่นกับ เคน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นนักเตะที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาทักษะที่หลากหลายด้านในเกมฟุตบอลของเขา
หลังผ่านไป 2 ปี เคน เติบโตแบบก้าวกระโดด นั่นทำให้เขาตัวสูงขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเดิม ในฤดูกาล 2008-09 เขาเล่นให้กับทีมชุดยู 16 ของ สเปอร์ส ในรายการ โกปา ชีวาส ที่ เม็กซิโก และ เบลินโซน่า ทัวร์นาเมนท์ ที่ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง เคน ระเบิดฟอร์มยิงไป 3 ประตู ทำให้ในเดือนกรกฎาคมปี 2009 ในวันเกิดอายุครบ 16 ปี เคน ก็ได้สัญญานักเรียนทุนฉบับแรกจาก สเปอร์ส
จากนั้นในฤดูกาล 2009-10 เคน มีผลงานที่โดดเด่นอย่างมากในทีมระดับยู 18 ของ สเปอร์ส หลังลงเล่นไป 22 นัด ทำไป 18 ประตู ทำให้โดนดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ทันที และมีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรอง 2 ครั้ง โดยเป็นเกมฟุตบอลถ้วยอย่าง ลีก คัพ และ เอฟเอ คัพ แต่ไม่เคยถูกส่งลงสนามแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สเปอร์ส ยังคงมองว่า เคน เป็นอนาคตที่สดใสของทีม ก่อนจะมอบสัญญาอาชีพฉบับแรกให้ เคน ในเดือนกรกฎาคมปี 2010 ในวันที่มีอายุครบ 17 ปีพอดี จากนั้นในเดือนมกราคมปี 2011 เคน ถูกปล่อยให้ เลย์ตัน โอเรียนท์ ทีมในระดับ ลีก วัน ยืมตัวเป็นเวลาครึ่งซีซั่น ซึ่ง เคน ทำผลงานได้ไม่เลว หลังลงเล่นไป 18 นัด ทำไป 5 ประตู
ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เคน ได้มีโอกาสลงเล่นนัดแรกอย่างเป็นทางการให้กับ สเปอร์ส ในเกม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกนัดที่สอง พบกับ ฮาร์ทส์ จาก สกอตแลนด์ โดย เคน ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง เนื่องจากเลกแรก สเปอร์ส ชนะมาก่อนอย่างขาดลอย 5-0 อย่างไรก็ตาม เคน ทำประตูไม่ได้ในเกมนี้ แม้ว่าจะเรียกจุดโทษได้และลุกขึ้นมาสังหารเองแต่กลับยิงไปติดเซฟ ทำให้เกมแรกของ เคน กับ สเปอร์ส จบลงด้วยการเสมอไปแบบไร้สกอร์ 0-0
เคน ได้ลงเล่นให้ สเปอร์ส ไป 6 เกมในฤดูกาล 2011-12 โดยเป็นเกม ยูโรป้า ลีก ทั้งหมด และทำได้ 1 ประตูในเกมที่ สเปอร์ส บุกไปถล่ม แชมร็อก โรเวอร์ส ทีมจากไอร์แลนด์ 4-0 ซึ่งนั่นคือประตูแรกอย่างเป็นทางการที่ เคน ทำได้ในสีเสื้อของ สเปอร์ส
หลังจากนั้น เคน ถูกปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวอีกครั้ง โดยคราวนี้ได้ย้ายไปเล่นให้ มิลล์วอลล์ ทีมร่วมกรุงลอนดอนที่อยู่ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ โดยเป็นการยืมตัวแบบเต็มฤดูกาล ซึ่ง เคน ก็ทำผลงานได้น่าพอใจอีกแล้ว หลังยิงไป 9 ประตูจากการลงเล่น 27 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งการยิงประตูอุตลุตในช่วงท้ายซีซั่นของ เคน ยังช่วยให้ มิลล์วอลล์ รอดพ้นจากการหนีตกชั้นในปีนั้นด้วย และทำให้เจ้าตัวได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ มิลล์วอลล์ มาครอง ก่อนจะกลับมาที่ สเปอร์ส
อย่างไรก็ตาม ในวัย 19 ปี เคน ก็ยังไม่ได้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สเปอร์ส อย่างจริงจัง ซึ่งในเวลานั้นกุนซือของ สเปอร์ ส คือ อันเดร วิลลา-โบอาช ทำให้เจ้าตัวยังต้องถูกปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวต่อไป และคราวนี้ เคน ได้ไปเล่นให้กับทีมในระดับพรีเมียร์ลีกด้วยกันอย่าง นอริช ซิตี้ ในฤดูกาล 2012-13
แต่กระนั้น เคน กลับได้รับบาดเจ็บกระดูกฝ่าเท้าแตก ทำให้ต้องกลับมารักษาตัวกับ สเปอร์ส และกว่าจะได้กลับไปที่ นอริช ก็เป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2012 แต่หลังจากได้มีโอกาสลงสนามให้ทีมนกขมิ้นเพียง 5 นัด เคน ก็ถูก สเปอร์ส เรียกตัวกลับจากสัญญายืมตัว เนื่องจากในช่วงเวลานั้นทีมมีกองหน้าใช้งานไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ดี หลังถูกเรียกตัวกลับมาได้ไม่นาน สเปอร์ส ก็ปล่อยให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนั้นอยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ยืมตัวไปใช้งานในครึ่งซีซั่นที่เหลือ โดยเจ้าตัวลงเล่นไปทั้งสิ้น 15 นัดทุกรายการ ทำไป 3 ประตู และมีส่วนช่วยให้ เลสเตอร์ ไปถึงในรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้นรอบรองชนะเลิศ แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เมื่อโดน วัตฟอร์ด เขี่ยตกรอบไปเสียก่อน
เคน กลับมาที่ สเปอร์ส อีกครั้งในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งตั้งแต่นั้นมา เคน เริ่มได้โอกาสลงเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในฤดูกาลนี้ เคน ในวัย 20 ปีได้ลงเล่นให้ สเปอร์ส ไป 19 เกมรวมทุกรายการ ก่อนจะยิงไป 4 ประตู และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึงในซีซั่น 2014-15 เมื่อ สเปอร์ส แต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ และเป็นกุนซืออาร์เจนไตน์คนนี้นี่เองที่ให้ความเชื่อใจ และดันให้ เคน เป็นกองหน้าตัวหลักของทีม
ซึ่ง เคน ก็ไม่ได้ทำให้เจ้านายคนใหม่ผิดหวัง เมื่อจัดการระเบิดตาข่ายไปถึง 31 ประตูจากการลงสนาม 51 เกมรวมทุกรายการ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการยิงในพรีเมียร์ลีกไปถึง 21 ลูก ผงาดเป็นรองดาวซัลโวของลีก โดยเป็นรองแค่ เซร์คิโอ อกวยโร่ ของ แมนฯ ซิตี้ แค่ 5 ประตูเท่านั้น แม้ว่าในฤดูกาลดังกล่าว สเปอร์ส จะได้แค่อันดับ 5 ในลีก และไม่มีความสำเร็จอะไร แต่จากผลงานดังกล่าวทำให้ เคน คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ ไปครองได้ในทันที
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เคน ก็สถาปนาตัวเองเป็นยอดกองหน้าของอังกฤษและ สเปอร์ส เขาทำประตูในระดับเกิน 20 ประตูทุกฤดูกาลต่อจากนั้น และมีบางซีซั่นที่ยิงเกิน 30 ไปจนถึงเกิน 40 ประตู ซึ่งปีที่ทำผลงานดีที่สุดของ เคน เกิดขึ้นในฤดูกาล 2016-17 และ 2017-18 หลังยิงไป 35 และ 41 ประตูตามลำดับ ซึ่งในสองปีดังกล่าว เคน พา สเปอร์ส จบอันดับที่ 2 และ 3 ของพรีเมียร์ลีก แต่ก็ยังไม่มีความสำเร็จใดๆ อยู่ดี อย่างใน เอฟเอ คัพ ก็ไปได้ไกลเพียงแค่รอบรองชนะเลิศ ส่วน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ทำได้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในวัยเพียง 24 ปี เคน เชื่อมั่นว่าตนเองจะพา สเปอร์ส ประสบความสำเร็จได้ในอีกไม่นานหลังจากนี้ ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา เคน ก็ยังยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และจุดสูงสุดที่ เคน เฉียดเข้าใกล้แชมป์ในระดับสโมสรมากที่สุด เกิดขึ้นในฤดูกาล 2018-19 เมื่อ สเปอร์ส ฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเข้าไปเจอกับ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังมาแรงมากๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เป็นอีกครั้งที่ เคน ได้ชื่อว่าเป็นพระรอง เมื่อ สเปอร์ส โดน ลิเวอร์พูล นำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 2 หลังเสียจุดโทษจากลูกแฮนด์บอล ก่อนที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะสังหารไม่พลาด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ และในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 87 หงส์แดงก็มาบวกเพิ่มอีกประตูจาก ดิว็อก โอริกี้ ทำให้ สเปอร์ส พ่ายไป 0-2 ได้แค่รองแชมป์เท่านั้น
หลังจากนั้นในฤดูกาล 2020-21 เคน มีโอกาสลุ้นความสำเร็จกับ สเปอร์ส อีกครั้ง หลังทีมไก่เดือยทองในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ลีก คัพ แต่ก่อนจะถึงเกมรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 25 เมษายน 2021 แดเนี่ยล เลวี่ ประธานบริหารของ สเปอร์ส กลับสั่งปลด มูรินโญ่ ซะอย่างนั้น ก่อนจะให้ ไรอัน เมสัน ที่เป็นผู้ช่วยรับหน้าที่เป็นกุนซือชั่วคราว พาทีมลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งผลปรากฏว่าเป็นทีมเรือใบสีฟ้าที่เป็นฝ่ายชนะไป 1-0 ทำให้ เคน ต้องผิดหวังไปอีกครั้ง
เคน อยู่กับ สเปอร์ส ไปอีก 2 ฤดูกาล โดยในซีซั่นสุดท้าย 2022-23 เคน สั่งลาด้วยการถล่มตาข่ายไปถึง 32 ประตูจากการลงเล่น 49 เกมในทุกถ้วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จอะไร นอกจากรางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 3 หน ในปี 2015-16, 2016-17 และ 2020-21
ทำให้ในช่วงหน้าร้อนปี 2023 เคน ในวัย 30 ปีได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการย้ายไปร่วมทีม บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร และมีโบนัสอีก 10 ล้านยูโรในอนาคต กลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาทันที ทำลายสถิติเดิมของ ลูคัส แอร์กน็องเดซ ที่ บาเยิร์น คว้ามาจาก แอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านยูโร เมื่อปี 2019 ลงอย่างราบคาบ
เหตุผลหลักๆ ในการย้ายทีมของ เคน ย่อมหนีไม่พ้นโอกาสที่จะได้ประสบความสำเร็จในช่วงปลายอาชีพนั่นเอง เพราะการมาอยู่กับทีมเสือใต้นั้น ยังไงก็มีโอกาสสูงที่จะได้แชมป์บุนเดสลีกา รวมถึงยังมีลุ้นในศึกใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งฤดูกาลแรกของ เคน กับ บาเยิร์น ก็เปรี้ยงปร้างทันที หลังกองหน้าทีมชาติอังกฤษซัดไปถึง 44 ประตูจากการลงสนาม 45 เกมรวมทุกรายการ ถือเป็นสถิติสูงสุดที่ เคน ทำประตูได้ต่อหนึ่งซีซั่น
แต่อย่างไรก็ตาม น่าเหลือเชื่อที่ บาเยิร์น กลับไม่ได้แชมป์อะไรเลยในฤดูกาล 2023-24 โดยในบุนเดสลีกาได้แค่อันดับที่ 3 เท่านั้น ขณะที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ไปได้แค่รอบรองชนะเลิศ ก่อนจะโดน เรอัล มาดริด ที่เป็รแชมป์ปีนั้นเขี่ยตกรอบไป
มาถึงตรงนี้หลายคนเริ่มจะคิดแล้วว่า หรือว่า เคน จะดวงอาภัพ ไม่มีวันจะประสบความสำเร็จอะไร เพราะในระดับทีมชาติ เคน ก็พาอังกฤษไปถึงรอบชิงชนะเลิศรายการเมเจอร์ได้ถึง 2 ครั้ง นั่นคือศึกยูโร 2020 และ 2024 แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ผิดหวัง เมื่อต้องแพ้ในรอบชิงชนะเลิศไปทั้ง 2 หน โดยในปี 2020 (ซึ่งแข่งขันในช่วงหน้าร้อนปี 2021) อังกฤษ แพ้จุดโทษต่อ อิตาลี ไป 3-2 ส่วนในปี 2024 ก็แพ้ สเปน เฉียดฉิว 2-1
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2024-25 เคน ก็ล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จเสียที หลังระเบิดฟอร์มยิงไป 37 ประตูกับอีก 12 แอสซิสต์ จาการลงเล่น 45 เกมรวมทุกรายการ และเป็นการยิงในบุนเดสลีกาถึง 25 ประตู ช่วยให้ บาเยิร์น คว้าแชมป์บุนเดสลีกามาครองได้สำเร็จ ในขณะที่ยังเหลือโปรแกรมอีก 2 เกม
และแน่นอนว่านี่เป็นแชมป์แรกจริงๆ ในการเล่นฟุตบอลอาชีพของ เคน ซึ่งถ้านับจากวันแรกที่เล่นให้ สเปอร์ส แบบที่เป็นตัวหลักอย่างเต็มตัวในวัย 20 ปี เท่ากับว่า เคน ต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 11 ปีเต็ม กว่าจะได้แชมป์แรกมาครอบครอง
ในวันที่ บาเยิร์น เอาชนะ มึนเช่นกลัดบัค 2-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และ เคน ก็ได้ชูถาดแชมป์บุนเดสลีกาขึ้นเหนือหัว นั่นคือการปลดปล่อยความรู้สึกที่รอคอยมาอย่างยาวนาน เห็นได้จากสายตาและรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าตัวที่ไม่อาจฝืนกลั้น และแน่นอนว่าสำหรับแฟนบอลคนไหนก็ตามที่ชื่นชอบ เคน มานานหลายปี คงอดยินดีไปด้วยไม่ได้สำหรับความสำเร็จที่เจ้าตัวควรจะได้มานานแล้ว ไม่ต้องรอคอยนานขนาดนี้
ในวัย 31 ย่าง 32 ปี เคน ยังคงเป็นยอดกองหน้าที่ทรงประสิทธิภาพอยู่ และเชื่อว่าเจ้าตัวจะยังมีเวลาล่าแชมป์กับ บาเยิร์น อีกอย่างน้อย 2 ฤดูกาลตามสัญญาที่ยังเหลือ ขณะที่ในช่วงหน้าร้อนนี้ ยังมีรายการสำคัญอย่าง ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ให้ เคน ได้ลุ้นความสำเร็จเพิ่มอีก
ก็ได้แต่หวังว่าแชมป์บุนเดสลีกาในปีนี้ จะเป็นแชมป์ปลดล็อกให้ เคน กวาดความสำเร็จแบบรัวๆ ในช่วงปลายอาชีพ ไม่ใช่เป็นแค่แชมป์รายการเดียวที่เจ้าตัวเคยได้ตลอดการเป็นนักเตะ ถ้าเป็นแบบนั้นคงเป็นอะไรที่น่าเศร้าเกินไป...