อุสมาน เดมเบเล่ คู่ควรหรือไม่? กับรางวัลบัลลง ดอร์

อุสมาน เดมเบเล่ คู่ควรหรือไม่? กับรางวัลบัลลง ดอร์

หากจะเอ่ยถึงนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลยุโรป ชั่วโมงนี้คงจะมีชื่อของ อุสมาน เดมเบเล่ ดาวยิงตัวเก่งของปารีส แซงต์-แชร์กแมง ผุดขึ้นมาในหัวเป็นเบอร์ต้นๆ


จากผลงานที่ทำได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ และมีส่วนสำคัญกับการพาต้นสังกัดผงาดคว้าทริปเปิลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้วยที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน


การสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปมาครองเป็นครั้งแรก และนับเป็นสโมสรที่ 2 ของฝรั่งเศส ต่อจาก โอลิมปิก มาร์กเซย ที่เคยทำได้ในปี ค.ศ. 1993 ถือเป็นรางวัลความสำเร็จของความพยายามที่มีมาอย่างต่อเนื่อง 


นับตั้งแต่การเข้ามาเทคโอเวอร์ของกลุ่มทุนจากกาตาร์อย่าง QSI (กาตาร์ สปอร์ต อินเวสต์เมนท์) เมื่อปี ค.ศ. 2011 พวกเขาก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะพาสโมสรครองจ้าวยุโรปให้ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี 


สโมสรเดินหน้าคว้าตัวนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์เข้าทีมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หรือแม้กระทั่ง เนย์มาร์ และ ลิโอเนล เมสซี่ รวมถึงคนอื่นๆอีกมากมาย แต่สุดท้ายสโมสรก็ไม่เคยก้าวไปถึงฝั่งฝันได้เลย


ครั้งที่พวกเขาเข้าใกล้การเป็นแชมป์ยุโรปมากที่สุดคือฤดูกาล 2019/20 ภายใต้การคุมทัพของ โธมัส ทูเคิล แต่สุดท้ายก็ถูกจดจำแค่ในฐานะพระรอง หลังจากพ่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค 0-1 ในนัดชิงชนะเลิศ


การประสบความสำเร็จครั้งนี้ของ เปแอสเช ไม่เพียงจะปลดล็อกรางวัลใหญ่ที่พวกเขาเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน ยังถือเป็นการประกาศให้โลกฟุตบอลได้รู้ว่าทีมจากลีกเอิง ฝรั่งเศส ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจจริง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ในยุคที่ฟุตบอลถูกครอบด้วยคำว่าธุรกิจ 


จริงอยู่ที่สโมสรทุ่มเม็ดเงินกับการสร้างทีมด้วยจำนวนมหาศาล แต่หลายๆสโมสรก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสกความสำเร็จให้ทีมได้ มันต้องมีหลายๆปัจจัยรวมกันจนเกิดความลงตัว ทั้งนักเตะ โค้ช ผู้บริหาร รวมถึงความศรัทธาจากแฟนบอล


จากลีกชาวนา ที่หลายคนดูถูก วันนี้พวกเขาสามารถลบคําสบประมาทลงได้อย่างไม่มีข้อสงสัย และแน่นอนว่าหนึ่งในคนที่มีส่วนอย่าง อุสมาน เดมเบเล่ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่สามารถลบคำดูถูกของตัวเองลงได้เช่นกัน 


อุสมาน เดมเบเล่ นักเตะที่มีช่วงเวลาขึ้นๆลงๆ ไล่ตั้งแต่การเติบโตขึ้นมาจาก แรนส์ สโมสรในลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นเยาวชนขึ้นมาประดับวงการ ก่อนจะย้ายไปแจ้งเกิดเต็มตัวกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 


เพียงแค่ฤดูกาลเดียวในบุนเดสลีกา เยอรมัน ฟอร์มของเขาก็โดดเด่นเกินต้านทาน ด้วยความเร็วที่จัดจ้าน ลีลาการไปกับบอลอันแพรวพราว ร้อนถึงสโมสรบาร์เซโลน่า ต้องทุ่มเงิน 90 ล้านปอนด์ กระชากตัวไปร่วมทีม ในปี 2017


แต่การย้ายไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน กลายเป็นทำให้กราฟชีวิตของเขาตกลงอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งอาการบาดเจ็บ ทัศนคติ และการฉายเดี่ยวเกินไป โดยไม่สนใจระบบทีมเวิร์ค จนมีหลายครั้งที่แฟนบอลบาร์ซ่าเองเริ่มบ่นเรื่องผลงานในสนามที่ไม่คุ้มกับค่าตัว


สุดท้ายบาร์เซโลน่า ได้รับข้อเสนอจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่จำนวน 50 ล้านยูโร ในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ขาดทุนจากตอนซื้อมา แต่พวกเขารู้ดีว่าหากยังฝืนเก็บแข้งรายนี้เอาไว้ต่อไป ก็มีโอกาสที่จะทำให้ค่าตัวถูกกดลงไปได้อีก เพราะมองยังไงในช่วงเวลานั้น ฟอร์มของ เดมเบเล่ ก็คงไปได้ไม่ไกลกว่านี้มากนัก


การกลับไปสู่บ้านเกิดอีกครั้ง ในแบบที่ทุกคนรอบข้างยังเชื่อมั่นในตัวเขา ทำให้เกิดความมุ่งมั่นในสนามอีกครั้ง และด้วยวัยที่โตขึ้น เขาเริ่มปรับทัศนคติตัวเองให้ไปในทิศทางบวก และเล่นเพื่อทีมมากขึ้น 

สรุปข่าว

อุสมาน เดมเบเล่ กลายเป็นนักเตะที่ได้รับการจับตามองอย่างมากในฤดูกาล 2024/25 หลังจากโชว์ฟอร์มโดดเด่นและมีบทบาทสำคัญในการพา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง คว้า “ทริปเปิลแชมป์” โดยเฉพาะถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรและเป็นสโมสรฝรั่งเศสทีมที่สองที่ทำได้ จากนักเตะที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องอาการบาดเจ็บและทัศนคติสมัยอยู่กับบาร์เซโลน่า เดมเบเล่กลับมาเกิดใหม่ในบ้านเกิด พร้อมพัฒนาทัศนคติและเล่นเพื่อทีมมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทแนวรุกเบอร์หนึ่งของทีมหลังการย้ายออกของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แม้ว่าเขาจะโดดเด่น แต่ความสำเร็จของเปแอสเชไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ อย่าง ควารัตสเคเลีย, วิตินญ่า, รุยส์, เนเวส, มาร์กินญอส, ฮาคิมี่ และดอนนารุมมา ที่มีบทบาทสำคัญเช่นกัน เดมเบเล่จึงกลายเป็นตัวเต็งรางวัลบัลลงดอร์ ร่วมกับ ลามีน ยามาล, ราฟินญ่า และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยรางวัลนี้จะพิจารณาจากผลงานตลอดฤดูกาล, ฟอร์มส่วนตัว และสปิริตนักกีฬา มากกว่าการคว้าแชมป์เพียงอย่างเดียว งานประกาศรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 22 กันยายน 2025 ที่กรุงปารีส ไม่ว่าใครจะคว้ารางวัลไป แต่ฤดูกาลนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในอาชีพของเดมเบเล่อย่างแน่นอน.

หากจะเอ่ยถึงนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลยุโรป ชั่วโมงนี้คงจะมีชื่อของ อุสมาน เดมเบเล่ ดาวยิงตัวเก่งของปารีส แซงต์-แชร์กแมง ผุดขึ้นมาในหัวเป็นเบอร์ต้นๆ


จากผลงานที่ทำได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ และมีส่วนสำคัญกับการพาต้นสังกัดผงาดคว้าทริปเปิลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้วยที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน


การสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปมาครองเป็นครั้งแรก และนับเป็นสโมสรที่ 2 ของฝรั่งเศส ต่อจาก โอลิมปิก มาร์กเซย ที่เคยทำได้ในปี ค.ศ. 1993 ถือเป็นรางวัลความสำเร็จของความพยายามที่มีมาอย่างต่อเนื่อง 


นับตั้งแต่การเข้ามาเทคโอเวอร์ของกลุ่มทุนจากกาตาร์อย่าง QSI (กาตาร์ สปอร์ต อินเวสต์เมนท์) เมื่อปี ค.ศ. 2011 พวกเขาก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะพาสโมสรครองจ้าวยุโรปให้ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี 


สโมสรเดินหน้าคว้าตัวนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์เข้าทีมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หรือแม้กระทั่ง เนย์มาร์ และ ลิโอเนล เมสซี่ รวมถึงคนอื่นๆอีกมากมาย แต่สุดท้ายสโมสรก็ไม่เคยก้าวไปถึงฝั่งฝันได้เลย


ครั้งที่พวกเขาเข้าใกล้การเป็นแชมป์ยุโรปมากที่สุดคือฤดูกาล 2019/20 ภายใต้การคุมทัพของ โธมัส ทูเคิล แต่สุดท้ายก็ถูกจดจำแค่ในฐานะพระรอง หลังจากพ่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค 0-1 ในนัดชิงชนะเลิศ


การประสบความสำเร็จครั้งนี้ของ เปแอสเช ไม่เพียงจะปลดล็อกรางวัลใหญ่ที่พวกเขาเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน ยังถือเป็นการประกาศให้โลกฟุตบอลได้รู้ว่าทีมจากลีกเอิง ฝรั่งเศส ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจจริง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ในยุคที่ฟุตบอลถูกครอบด้วยคำว่าธุรกิจ 


จริงอยู่ที่สโมสรทุ่มเม็ดเงินกับการสร้างทีมด้วยจำนวนมหาศาล แต่หลายๆสโมสรก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสกความสำเร็จให้ทีมได้ มันต้องมีหลายๆปัจจัยรวมกันจนเกิดความลงตัว ทั้งนักเตะ โค้ช ผู้บริหาร รวมถึงความศรัทธาจากแฟนบอล


จากลีกชาวนา ที่หลายคนดูถูก วันนี้พวกเขาสามารถลบคําสบประมาทลงได้อย่างไม่มีข้อสงสัย และแน่นอนว่าหนึ่งในคนที่มีส่วนอย่าง อุสมาน เดมเบเล่ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่สามารถลบคำดูถูกของตัวเองลงได้เช่นกัน 


อุสมาน เดมเบเล่ นักเตะที่มีช่วงเวลาขึ้นๆลงๆ ไล่ตั้งแต่การเติบโตขึ้นมาจาก แรนส์ สโมสรในลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นเยาวชนขึ้นมาประดับวงการ ก่อนจะย้ายไปแจ้งเกิดเต็มตัวกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 


เพียงแค่ฤดูกาลเดียวในบุนเดสลีกา เยอรมัน ฟอร์มของเขาก็โดดเด่นเกินต้านทาน ด้วยความเร็วที่จัดจ้าน ลีลาการไปกับบอลอันแพรวพราว ร้อนถึงสโมสรบาร์เซโลน่า ต้องทุ่มเงิน 90 ล้านปอนด์ กระชากตัวไปร่วมทีม ในปี 2017


แต่การย้ายไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน กลายเป็นทำให้กราฟชีวิตของเขาตกลงอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งอาการบาดเจ็บ ทัศนคติ และการฉายเดี่ยวเกินไป โดยไม่สนใจระบบทีมเวิร์ค จนมีหลายครั้งที่แฟนบอลบาร์ซ่าเองเริ่มบ่นเรื่องผลงานในสนามที่ไม่คุ้มกับค่าตัว


สุดท้ายบาร์เซโลน่า ได้รับข้อเสนอจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่จำนวน 50 ล้านยูโร ในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ขาดทุนจากตอนซื้อมา แต่พวกเขารู้ดีว่าหากยังฝืนเก็บแข้งรายนี้เอาไว้ต่อไป ก็มีโอกาสที่จะทำให้ค่าตัวถูกกดลงไปได้อีก เพราะมองยังไงในช่วงเวลานั้น ฟอร์มของ เดมเบเล่ ก็คงไปได้ไม่ไกลกว่านี้มากนัก


การกลับไปสู่บ้านเกิดอีกครั้ง ในแบบที่ทุกคนรอบข้างยังเชื่อมั่นในตัวเขา ทำให้เกิดความมุ่งมั่นในสนามอีกครั้ง และด้วยวัยที่โตขึ้น เขาเริ่มปรับทัศนคติตัวเองให้ไปในทิศทางบวก และเล่นเพื่อทีมมากขึ้น 

เข้าสู่ฤดูกาล 2024/25 ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่เสียตัว คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวยิงหมายเลขหนึ่งไปให้กับ เรอัล มาดริด แน่นอนว่าทุกสายตาต่างมองว่าเป็นเรื่องยากกว่าเดิมหลายเท่าที่ทีมจะประสบความสำเร็จในเวทียุโรป 


แต่แล้วภายใต้การคุมทัพของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็สามารถปรุงแต่งทีมของเขาให้แข็งแกร่งกว่าเดิม และแน่นอนว่าบทบาทของ อุสมาน เดมเบเล่ ถูกขยับให้กลายเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย 


ไม่มีใครปฏิเสธในความสามารถของ เดมเบเล่ อยู่แค่ว่าหากเขาทำร่างกายให้ฟิตเต็มร้อยและตั้งใจเล่นเพื่อทีม ทุกอย่างก็จะดีเอง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ 


เดมเบเล่ ปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการหันมาเล่นเพื่อทีมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามไม่มีบอล เขาจะเป็นเหมือนกองหลังตัวแรกที่คอยใช้ความเร็ววิ่งไล่บดขยี้คู่แข่งตั้งแต่แดนบน เมื่อไรที่ เดมเบเล่ วิ่งเข้าใส่คู่แข่ง เพื่อนร่วมทีมที่อยู่ข้างหลังก็จะคอยวิ่งตามไล่เพรส สอดประสานจนกลายเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัวของสโมสรแห่งนี้ 


ความสำเร็จสูงสุดของสโมสรที่ทำได้ในฤดูกาลนี้ ทำให้แสงสปอร์ตไลท์สาดส่องมาที่ เดมเบเล่ บรรดาคนในวงการหลายต่อหลายคนต่างยกย่องและเชิดชูชื่อของเขาว่าคู่ควรกับการได้รับรางวัลบัลลงดอร์


ในช่วงระหว่างทางของขบวนแห่แชมป์ที่กรุงปารีส แฟนบอลตะโกนเรียกชื่อของเขาพร้อมกับคำว่าบัลลงดอร์ เหมือนเป็นการช่วยแข้งรายนี้หาเสียงให้ได้รับคะแนนโหวต ราวกับเป็นนักการเมืองในช่วงก่อนวันเลือกตั้ง


อย่างไรก็ตามภาพรวมความสำเร็จของ เปแอสเช ไม่ได้เกิดขึ้นจาก เดมเบเล่ เพียงคนเดียว แต่เพื่่อนร่วมทีมของเขาก็ถือเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ เพราะฟุตบอลคุณจะเก่งแค่คนเดียวไม่ได้ มันต้องเกื้อหนุนกันทั้งสโมสร


ควิช่า ควารัตสเคเลีย ที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดในช่วงมกราคม ทำให้เปแอสเช มีอาวุธที่หลากหลายและจับทางได้ยากกว่าเดิม นี่ยังไม่นับผลงานในครึ่งซีซั่นแรกที่เขาทำเอาไว้กับ นาโปลี จนสุดท้ายอดีตต้นสังกัดก็ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา เรียกได้ว่าซีซั่นเดียว แข้งจอร์เจียรายนี้กวาดความสำเร็จได้แชมป์ทั้ง 2 ลีก


ไหนจะ วิตินญ่า, รุยส์ และ เนเวส 3 ห้องเครื่องสำคัญที่ขับเคลื่อนเกมในสนาม หากขาดใครคนใดคนหนึ่งไป ส่วนผสมของสโมสรแห่งนี้ก็จะไม่ลงตัว หรือในแผงเกมรับที่ได้ประสบการณ์จาก มาร์กินญอส บวกกับลูกบู๊ดุดันของ ปาโช่ เมื่อไปประกอบร่างกับ นูโน่ เมนเดส และ ฮาคิมี่ แบ็กทั้งสองฝั่ง ยิ่งทำให้เกมรับแข็งแกร่ง แถมด่านสุดท้ายยังมี จานลุยจิ ดอนนารุมมา ที่เซฟสำคัญๆช่วยทีมให้มีวันนี้ได้


แต่รางวัลบัลลงดอร์ จะมีเจ้าของได้แค่คนเดียว น่าสนใจว่าบทสรุปสุดท้ายใครจะได้ไปครอง หากทุกอย่างเป็นไปตามแรงเชียร์ เดมเบเล่ ก็ดูจะเหมาะสม จากผลงานที่ทำมาตลอดทั้งซีซั่น 


นอกจากบรรดานักเตะของทีมแชมป์ยุโรปอย่างเปแอสเชแล้ว มองข้ามลีกไปที่ลาลีกา สเปน กับความสำเร็จของบาร์เซโลน่า ที่กวาด 3 แชมป์ในประเทศ ก็มีดาวเด่นอย่าง ลามีน ยามาล และ ราฟินญ่า ที่โดดเด่นสุดๆตลอดทั่งซีซั่น


หรือแม้แต่ในศึกพรีเมียร์ลีก ก็เป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เสกแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้กับลิเวอร์พูล จากผลงานที่ร้อนแรงสุดๆ 29 ประตู กับ 18 แอสซิสต์ ในลีก เรียกได้ว่าสกอร์เกินครึ่งของทัพหงส์แดง เกิดจากการมีส่วนร่วมของเขาทั้งสิ้น


มองมุมไหนแต่ละคนต่างก็มีข้อดีเป็นของตัวเอง แต่อย่างที่ทราบกันว่ารางวัลนี้มาจากการโหวต เพราะฉะนั้นมันมีหลากหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง 3 ชื่อที่ถูกยกให้เป็นตัวเต็ง ประกอบไปด้วย เดมเบเล่ เต็มหนึ่ง ตามมาด้วย ลามีน ยามาล,  ราฟินญ่า และ โม ซาลาห์ 


เรียกได้ว่าแต่ละคนที่กล่าวมานั้น ใครได้ไปก็ดูคู่ควร แต่ถ้ามองเรื่องความเหมาะสม ไม่แปลกอะไรที่ เดมเบเล่ จะเป็นตัวเต็ง เพราะความสำเร็จระดับยุโรป ส่วน ลามีน ยามาล เด็กมหัศจรรย์ที่หากยังรักษาฟอร์มแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เชื่อว่ารางวัลนี้ไม่หนีมือเขาไปไหนแน่ๆในอนาคตอันใกล้ 


ขณะที่ ราฟินญ่า กับ โม ซาลาห์ ถ้าพลิกโผเป็นชื่อของ 1 ใน 2 คนนี้ได้ไป ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะถือเป็นซีซั่นที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมของพวกเขา

รางวัลบัลลง ดอร์ เป็นที่ยอมรับในวงการฟุตบอลว่าเป็นเหมือนความสำเร็จส่วนตัวที่สูงที่สุดของนักฟุตบอล เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 จากการริเริ่มของนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล และ เลกิ๊ป สื่อในประเทศฝรั่งเศส


แม้ในช่วงหลังความขลังดูจะลดลงไป เปลี่ยนเป็นเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2021 ที่ตกเป็นของ ลิโอเนล เมสซี ได้รางวัลไปครองเป็นสมัยที่ 7 ซึ่งปีนั้นก็ถูกวิจารณ์ว่าคนที่คู่ควรมากกว่าคือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี จากผลงานสุดพีกในสีเสื้อบาเยิร์น มิวนิค


ก่อนที่ภายหลังในปี 2022 จะมีการปรับเปลี่ยนกฎการให้คะแนนบางส่วน เพื่อให้เหมาะสมกว่าเดิม โดยมี 4 เงื่อนไขที่เพิ่มเข้ามา ดังนี้


1. พิจารณาจากฤดูกาลปกติของการแข่งขันฟุตบอลในยุโรป  


2. มองผลงานส่วนตัวมากกว่าถ้วยแชมป์ และสปิริตในสนาม


3. ให้สิทธิ์ผู้ลงคะแนนโหวตจากชาติท็อป 100 ของฟีฟ่า แรงกิ้ง ในทีมชาย และ ท็อป 50 ของทีมหญิง


4. เปลี่ยนกรรมการคัดเลือก 30 นักเตะที่เป็นผู้ท้าชิง ให้เป็นคนที่มีความรู้และเกี่ยวข้องโดยตรงของวงการฟุตบอลยุโรป 


บัลลง ดอร์ 2025 มีกำหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 22 กันยายนนี้ ณ โรงละครชัตเลต์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อถึงเวลานั้นเราจะได้รู้กันว่าบทสรุปสุดท้ายใครจะได้ไปครอง


แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เชื่อว่าสุดท้ายก็ต้องมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ เป็นของคู่กันเหมือนสัจธรรมชีวิต อย่างในปี 2024 รางวัลนี้เป็นของ โรดรี้ ห้องเครื่องทีมชาติสเปน ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่โดดเด่นทั้งในสนามและความสำเร็จในเรื่องถ้วยรางวัล


พาต้นสังกัดเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน พ่วงด้วยแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และ แชมป์ยูโร 2024 กับทีมชาติสเปน ส่วนอันดับ2 เป็นของ วินิซิอุส จูเนียร์ และที่ 3 เป็นของ จู๊ด เบลลิ่งแฮม ที่กลายเป็นประเด็นดราม่า เนื่องจากบรรดาแข้งเรอัล มาดริด ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานนี้


สุดท้ายไม่ว่า อุสมาน เดมเบเล่ ตัวเต็งจะได้รางวัลนี้ไปตามความคาดหมายหรือไม่ แต่ฤดูกาลที่แสนพิเศษของเขามันได้เกิดขึ้นแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเสียงโหวต ว่าผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนส่วนใหญ่จะมองเขาในสายตาหรือไม่...

อ่านเรื่องราวอื่นๆที่น่าสนใจ

ลงเล่น 100 นัดให้ บาร์เซโลน่า ในวัย 17 ปี ประวัติ ลามีน ยามาล เด็กมหัศจรรย์คนใหม่


ประวัติ โธมัส มุลเลอร์ ตำนานที่ถึงวันอำลา...25 ปี ในสีเสื้อบาเยิร์น มิวนิค


ประวัติ รายาน แชร์กี้ เด็กปั้น ลียง ที่กำลังเนื้อหอม

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : AFP

แท็กบทความ