ประวัติ แทร์ สเตเก้น จากกัปตันกลายเป็นส่วนเกิน บาร์เซโลน่า

ประวัติ แทร์ สเตเก้น จากกัปตันกลายเป็นส่วนเกิน บาร์เซโลน่า

ตำแหน่งผู้รักษาประตูในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งในและนอกสนาม นายทวารกลายเป็นคนที่มีบทบาทอย่างมากในแผนการเล่นสมัยใหม่ จากเดิมที่มีหน้าที่แค่ป้องกันประตู


ย้อนกลับไปในยุคคลาสสิกที่ผู้รักษาประตูยังสามารถใช้มือจับลูกฟุตบอลที่เพื่อนร่วมทีมส่งคืนมาให้ พอกองหลังได้บอล หันซ้าย-หันขวา ไม่เจอใคร เอะอะก็ส่งคืนผู้รักษาประตู เพื่อให้ใช้มือจับก่อนจะเตะสาดตูมเดียวขึ้นไปวัดกันข้างหน้า


ถือเป็นช่องโหว่ที่มักใช้เป็นสูตรสำเร็จในการถ่วงเวลาของทีมนำ ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1992 ฟีฟ่าจะเปลี่ยนแปลงกฎใหม่ด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ผู้รักษาประตูใช้มือสัมผัสลูกฟุตบอลที่เพื่อนร่วมทีมส่งคืน 


กลายเป็นจุดที่ผู้รักษาประตูในยุคนั้นต้องปรับตัวกันใหม่ เพราะจะเผลอใช้มือจับลูกบอลขึ้นมาแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเพื่อนร่วมทีมส่งกลับคืนมาให้ ก็ทำได้เพียงแค่ใช้เท้าคอนโทรลบอลเท่านั้น


การเปลี่ยนแปลงกฎดังกล่าวสร้างความลำบากให้กับนายทวารทุกคน จากที่เคยใช้มือรับบอลมาตลอดชีวิตการเฝ้าเสา และในขณะเดียวกันมันยังส่งผลถึงบรรดาผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่กันอีกด้วย


โดยเฉพาะตำแหน่งกองหลัง ที่หากโดนคู่แข่งบีบกดดันเข้ามาแล้วคิดจะส่งบอลคืนผู้รักษาประตู คุณจะต้องกะน้ำหนักและทิศทางของลูกฟุตบอลให้พอดี เพราะหากส่งคืนเบาจนเกินไป ก็มีโอกาสโดนคู่แข่งวิ่งตามฉก หรือถ้าแรงเกินไป ก็มีโอกาสสูงมากๆที่ผู้รักษาประตูจะก่อความผิดพลาด 


เพราะต้องยอมรับว่าในวงการฟุตบอลยุคก่อนๆ การจะหาผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าคอนโทรลบอลได้ดี เป็นเรื่องที่ยาก เพราะคิดง่ายๆถ้าคุณใช้ทักษะเล่นบอลด้วยเท้าดี คุณจะไปเป็นผู้รักษาประตูทำไม


ในยามฝึกซ้อมก็ยังไม่มีตำราไหนที่จะให้ผู้รักษาประตูมัวมาฝึกรับ-ส่งบอลด้วยเท้า เต็มที่ก็แค่ฝึกตั้งบอลเตะสาดยาวจากหน้าประตู หรือเวลาใช้มือรับบอลได้ก็โยนแล้วหวดแรงๆให้บอลลอยไปให้ไกลที่สุด


เวลาที่มีใครสักคนในตำแหน่งผู้รักษาประตูแล้วใช้เท้าเตะฟุตบอลได้ดี ก็จะสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอล ยกตัวอย่างเช่นในตอนที่ โฮเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต นายทวารจอมเตะลูกนิ่งของทีมชาติปารากวัย ที่รับจบเองหมดทั้งสังหารจุดโทษและขึ้นมายิงฟรีคิกในระยะอันตราย


นี่แค่นายทวารที่เตะลูกนิ่งดียังได้รับความสนใจขนาดนี้ ลองนึกภาพผู้รักษาประตูยุคปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้ของการบิวด์อัพเพื่อทำเกมรุก หากเหตุการณ์เหล่านี้ไปเกิดขึ้นในยุคก่อน คงสร้างความประหลาดใจไม่น้อย


ที่เกริ่นมายืดยาวไม่ใช่อะไร เพราะในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน ตำแหน่งผู้รักษาประตูกลายเป็นมีบทบาทสำคัญมากๆกับแผนการเล่นสมัยใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนจังหวะและสร้างความได้เปรียบให้กับทีมได้เลย 


จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ตำราฝึกวิชานายทวารจะต้องใส่การซ้อมด้วยการใช้เท้าคอนโทรลบอล รับ-ส่งระยะสั้น ระยะไกลให้มีความคุ้นเคย เพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์จริงในสนาม 

สรุปข่าว

มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น คือหนึ่งในผู้รักษาประตูยุคใหม่ที่โดดเด่นทั้งการเซฟและการใช้เท้า เขาเริ่มต้นจากอะคาเดมีของกลัดบัค ก่อนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2011 และสร้างชื่อจนถูกบาร์เซโลน่าคว้าตัวไปในปี 2014 แม้ช่วงแรกจะต้องรอโอกาสจากการหมุนเวียนกับ เคลาดิโอ บราโว แต่เมื่อได้เป็นมือหนึ่งเต็มตัว เขาก็กลายเป็นกำลังหลักของทีม พาทีมคว้าแชมป์มากมายทั้ง ลาลีกา, โกปา เดล เรย์ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทว่าเมื่ออายุ 33 ปี แทร์ สเตเก้น ต้องเผชิญอาการบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าในซีซั่น 2024/25 ทำให้บาร์ซ่าต้องดึง วอยเซียค เชสนี่ เข้ามาแทนและโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม พร้อมคว้าแชมป์ 3 รายการในประเทศ ส่งผลให้อนาคตของเขากับทีมกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม แม้เคยเป็นกัปตันทีมและสร้างสถิติมากมาย แต่การเปลี่ยนผ่านรุ่นของบาร์เซโลน่ารวมถึงการเซ็นสัญญากับนายทวารใหม่ ทำให้เขาอาจต้องย้ายออกเพื่อโอกาสลงสนามต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากหวังกลับไปติดทีมชาติเยอรมันในศึกฟุตบอลโลก 2026

ตำแหน่งผู้รักษาประตูในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งในและนอกสนาม นายทวารกลายเป็นคนที่มีบทบาทอย่างมากในแผนการเล่นสมัยใหม่ จากเดิมที่มีหน้าที่แค่ป้องกันประตู


ย้อนกลับไปในยุคคลาสสิกที่ผู้รักษาประตูยังสามารถใช้มือจับลูกฟุตบอลที่เพื่อนร่วมทีมส่งคืนมาให้ พอกองหลังได้บอล หันซ้าย-หันขวา ไม่เจอใคร เอะอะก็ส่งคืนผู้รักษาประตู เพื่อให้ใช้มือจับก่อนจะเตะสาดตูมเดียวขึ้นไปวัดกันข้างหน้า


ถือเป็นช่องโหว่ที่มักใช้เป็นสูตรสำเร็จในการถ่วงเวลาของทีมนำ ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1992 ฟีฟ่าจะเปลี่ยนแปลงกฎใหม่ด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ผู้รักษาประตูใช้มือสัมผัสลูกฟุตบอลที่เพื่อนร่วมทีมส่งคืน 


กลายเป็นจุดที่ผู้รักษาประตูในยุคนั้นต้องปรับตัวกันใหม่ เพราะจะเผลอใช้มือจับลูกบอลขึ้นมาแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเพื่อนร่วมทีมส่งกลับคืนมาให้ ก็ทำได้เพียงแค่ใช้เท้าคอนโทรลบอลเท่านั้น


การเปลี่ยนแปลงกฎดังกล่าวสร้างความลำบากให้กับนายทวารทุกคน จากที่เคยใช้มือรับบอลมาตลอดชีวิตการเฝ้าเสา และในขณะเดียวกันมันยังส่งผลถึงบรรดาผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่กันอีกด้วย


โดยเฉพาะตำแหน่งกองหลัง ที่หากโดนคู่แข่งบีบกดดันเข้ามาแล้วคิดจะส่งบอลคืนผู้รักษาประตู คุณจะต้องกะน้ำหนักและทิศทางของลูกฟุตบอลให้พอดี เพราะหากส่งคืนเบาจนเกินไป ก็มีโอกาสโดนคู่แข่งวิ่งตามฉก หรือถ้าแรงเกินไป ก็มีโอกาสสูงมากๆที่ผู้รักษาประตูจะก่อความผิดพลาด 


เพราะต้องยอมรับว่าในวงการฟุตบอลยุคก่อนๆ การจะหาผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าคอนโทรลบอลได้ดี เป็นเรื่องที่ยาก เพราะคิดง่ายๆถ้าคุณใช้ทักษะเล่นบอลด้วยเท้าดี คุณจะไปเป็นผู้รักษาประตูทำไม


ในยามฝึกซ้อมก็ยังไม่มีตำราไหนที่จะให้ผู้รักษาประตูมัวมาฝึกรับ-ส่งบอลด้วยเท้า เต็มที่ก็แค่ฝึกตั้งบอลเตะสาดยาวจากหน้าประตู หรือเวลาใช้มือรับบอลได้ก็โยนแล้วหวดแรงๆให้บอลลอยไปให้ไกลที่สุด


เวลาที่มีใครสักคนในตำแหน่งผู้รักษาประตูแล้วใช้เท้าเตะฟุตบอลได้ดี ก็จะสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอล ยกตัวอย่างเช่นในตอนที่ โฮเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต นายทวารจอมเตะลูกนิ่งของทีมชาติปารากวัย ที่รับจบเองหมดทั้งสังหารจุดโทษและขึ้นมายิงฟรีคิกในระยะอันตราย


นี่แค่นายทวารที่เตะลูกนิ่งดียังได้รับความสนใจขนาดนี้ ลองนึกภาพผู้รักษาประตูยุคปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้ของการบิวด์อัพเพื่อทำเกมรุก หากเหตุการณ์เหล่านี้ไปเกิดขึ้นในยุคก่อน คงสร้างความประหลาดใจไม่น้อย


ที่เกริ่นมายืดยาวไม่ใช่อะไร เพราะในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน ตำแหน่งผู้รักษาประตูกลายเป็นมีบทบาทสำคัญมากๆกับแผนการเล่นสมัยใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนจังหวะและสร้างความได้เปรียบให้กับทีมได้เลย 


จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ตำราฝึกวิชานายทวารจะต้องใส่การซ้อมด้วยการใช้เท้าคอนโทรลบอล รับ-ส่งระยะสั้น ระยะไกลให้มีความคุ้นเคย เพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์จริงในสนาม 

หลายครั้งผู้รักษาประตูมีชื่อว่าเป็นคนทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีม หรือกลายเป็นคนที่หลอกล่อให้นักเตะคู่แข่งพยายามกรูกันเข้ามาแย่ง ก่อนจะใช้ทักษะจ่ายบอลแก้เพลสออกไปให้เพื่อนร่วมทีมสร้างเกมรุกในแบบที่มีพื้นที่มหาศาล


ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ ทำให้ผู้รักษาประตูในวัยคาบเกี่ยวได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คือบางคนก็ใช้เท้าดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังดูเก้ๆ กังๆ ต่างจากผู้รักษาประตูยุคใหม่ที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่ระดับเยาวชน


ไม่เว้นแม้แต่ มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น นายทวารที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการชื่นชมว่าสามารถใช้เท้าได้ดี แต่พอกาลเวลาผ่านไป ฟุตบอลเริ่มเข้มข้นมากขึ้น คู่แข่งเดินสูงเพื่อไล่เพลสอย่างดุดัน จากที่เคยมีเวลาคิดกับลูกฟุตบอลหลายวินาที กลายเป็นต้องรีบตัดสินใจทันทีทันใดในช่วงเสี้ยววินาที ไม่แปลกใจอะไรที่เรามักจะเห็นผู้รักษาประตูส่งบอลพลาด นำมาซึ่งการเสียประตูอยู่หลายต่อหลายครั้งจนเป็นเรื่องชินตา 


ในยุคที่โค้ชมองหาผู้รักษาประตูที่ไม่ใช่มีดีแค่การเซฟ แต่เพิ่มเติมมาด้วยคุณสมบัติใช้เท้าเล่นฟุตบอล เริ่มส่งผลให้บรรดาผู้รักษาประตูยุคคาบเกี่ยวอยู่ยาก ไม่เว้นแม้แต่ แทร์ สเตเก้น กัปตันทีมบาร์เซโลน่าที่กำลังถูกกดดันให้ย้ายทีม อนาคตตกอยู่บนความไม่แน่นอน 


เราจึงถือขอโอกาสพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับนายทวารวัย 33 ปีผู้นี้กันดูว่า จะมีเส้นทางลูกหนังเป็นอย่างไร


ประวัติ มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น


มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1992 ที่เมืองมึนเชนกลัดบัค ประเทศเยอรมนี และด้วยความที่บ้านเกิดของเขามีทีมในบุนเดสลีกา อย่าง โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ทำให้โอกาสเปิดกว้างสำหรับเด็กท้องถิ่นที่จะได้เข้าระบบเยาวชนของทีม


แทร์ สเตเก้น ได้เข้าสู่ทีมอคาเดมีของกลัดบัค ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 5 ขวบ เขาเป็นเด็กที่มีทักษะฟุตบอลไม่ธรรมดา แต่ด้วยความที่มีรูปร่างสูงยาวเข่าดี แม้จะใช้เท้าได้ แต่หน่วยก้านแขนขาของเขายาวเกินกว่าจะมองข้าม จึงตัดสินใจมาเอาดีในตำแหน่งผู้รักษาประตู สุดท้ายเขาก็ค้นพบคำตอบที่ใช่กับการเล่นตำแหน่งนี้


เขามีปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะจังหวะเซฟหยุดลูกยิงยามที่ต้องดวล 1-1 กับกองหน้า  บวกกับพื้นฐานการใช้เท้าที่ทำได้ดี ทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูที่นอกจากจะเซฟเก่งแล้ว ยังมีทีเด็ดจากจังหวะจ่ายบอลและการใช้เท้าดึงจังหวะหลอกล่อคู่แข่งให้ขึ้นมาไล่ เพื่อเปิดพื้นที่ว่างให้เพื่อนร่วมทีม


คุณสมบัติของ แทร์ สเตเก้น เป็นเหมือนผู้รักษาประตูต้นแบบของฟุตบอลสมัยใหม่ กลายเป็นจุดเด่นที่เขาพกติดตัวมาตั้งแต่ระดับเยาวชน ไต่เต้าขึ้นมาสู่ทีมสำรอง และก็เริ่มฉายแววของการเป็นนายทวารชั้นนำของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้โอกาสติดเยาวชนทีมชาติเยอรมันทุกระดับ ไล่ตั้งแต่ U16 ไปจนถึง U21 ในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ เป็นที่กล่าวขานกันว่านี่คือเด็กอัจฉริยะกับการเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู


ในช่วงเวลานั้นโอกาสก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ก็มาถึง ในปี2011 แต่ผลงานของต้นสังกัดดันสวนทางกับนายทวารดาวรุ่งที่กำลังฉายแวว กลัดบัค จมท้ายตารางของศึกบุนเดสลีกา ด้วยผลงานเก็บได้เพียงแค่ 16 คะแนน จากการลงเล่น 22 นัด สุดท้ายสโมสรตัดสินแยกทางกับ ไมเคิล ฟรอนต์เซ็ค ก่อนจะแต่งตั้ง ลูเซียน ฟาฟร์ เข้ามาทำหน้าที่เฮดโค้ชแทน


หลังเปลี่ยนกุนซือ ผลงานของสโมสรดูดีขึ้น แต่เหมือนยังไปไม่สุดเพราะสาเหตุหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดส่วนตัว โดยเฉพาะตำแหน่งผู้รักษาประตูมือ1 ของทีมอย่าง โลแกน ไบล์ลี่ นายทวารรูปหล่อทีมชาติเบลเยียม


ความผิดพลาดของเขาทำให้เกิดกระแสวิจารณ์จากแฟนบอลในวงกว้าง ถึงขนาดที่หลายคนต่างบอกว่าเขามัวแต่เอาเวลาที่ควรจะฝึกซ้อมไปถ่ายแบบ แทนที่จะทุ่มเทกับฟุตบอล กลายเป็นกระแสต่อต้านและเรียกร้องให้ทีมดันผู้รักษาประตูดาวรุ่งอย่าง แทร์ สเตเก้น ขึ้นเป็นมือ1แทน


มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น ลงสนามชุดใหญ่นัดแรกกับ กลัดบัค


สุดท้าย ลูเซียน ฟาฟร์ ก็หมดความอดทน จึงตัดสินใจทำตามเสียงเรียกร้องด้วยการให้โอกาส แทร์ สเตเก้น ในวัย 18 ย่าง 19 ปี ลงเล่นในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2011 เกมที่พบกับ เอฟซี โคโลญจน์ และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง


แทร์ สเตเก้น กลายเป็นส่วนสำคัญที่เขามาเติมเต็มเกมรับของทีมให้แข็งแกร่งขึ้นในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สุดท้ายก็สามารถคว้าโอกาสแล้วยึดมือ1 ของทีมถาวรตลอดช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล เขาทำผลงานยอดเยี่ยมเก็บไป 4 คลีนชีต จากการลงเฝ้าเสา 5 นัด และหนึ่งในนั้นที่กลายเป็นภาพจำคือเขาเซฟกระจายช่วยให้ทีมเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่เป็นแชมป์ฤดูกาลนั้น ด้วยสกอร์ 1-0 


สุดท้ายต้นสังกัดได้ต่อลมหายใจด้วยการคว้าสิทธิ์เพลย์ออฟกับทีมโบคุ่ม จากศึกบุนเดสลีกา2 ซึ่ง กลัดบัค สามารถเก็บชัยชนะเหนือ โบคุ่ม ด้วยสกอร์รวม 2-1 จากการแข่งขันระบบ 2 นัดเหย้า-เยือน ได้โอกาสเล่นในลีกสูงสุดต่อไปในฤดูกาลหน้า 

เข้าสู่ฤดูกาล 2011-12 ทางฝั่งทีมยักษ์ใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่เพิ่งจะล้มเหลวในฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยการจบอันดับ3 ตัดสินใจกระชากตัว มานูเอล นอยเออร์ นายทวารกัปตันทีมของชาลเก้04 มาเสริมแกร่ง ซึ่งในเวลานั้น นอยเออร์ มีอายุ 25 ปี


และเรื่องราวก็เป็นเหมือนดั่งมีใครเขียนสคริปเอาไว้ นอยเออร์ ลงประเดิมสนามกับบาเยิร์น มิวนิค นัดแรกในเกมเปิดบ้านเจอกับ โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ซึ่งถ้าว่ากันตามคุณภาพเนื้อผ้า ดูยังไง บาเยิร์นฯ ก็ไม่น่าพลาดกับการเก็บ 3 แต้มเต็ม แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์


เกมนัดนั้น มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น กลายเป็นคนที่แย่งซีนด้วยผลงานการเซฟยอดเยี่ยม ช่วยทีมรอดพ้นการเสียประตูไปหลายต่อหลายครั้ง สวนทางกับ มานูเอล นอยเออร์ ที่แสดงความผิดพลาดออกมา จนสุดท้าย บาเยิร์นฯ ต้องพ่ายคาบ้านด้วยสกอร์ 0-1 


แน่นอนว่า แทร์ สเตเก้น มีส่วนสำคัญกับชัยชนะ และคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นดาวรุ่งพุ่งแรงของทีมอีก 1 คน ก็คือ มาร์โก รอยส์ ผนึกกับกองหลังชาวบราซิลที่แข็งแกร่งอย่าง ดันเต้ ที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันจนพาสโมสรเปลี่ยนโฉมจากทีมหนีตายกลายมาเป็นทีมที่จบอันดับ 4 ของตาราง พร้อมกับคว้าตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่


หลังจบฤดูกาลนั้น สโมสรเสียกำลังสำคัญทั้ง มาร์โก รอยส์ (ไปดอร์ทมุนด์) และ ดันเต้ (ไปบาเยิร์นฯ) คราวนี้ชื่อของ มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น กลายเป็นตัวชูโรงเบอร์ 1 ของทีม และเริ่มถูกจับตามองในวงการฟุตบอลยุโรป และมีข่าวเชื่องโยงกับบรรดาบิ๊กทีม โดยเฉพาะบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน


มาร์ค อังเดร แทร์ สเตเก้น ย้ายร่วมทีมบาร์เซโลน่า


ฤดูกาล 2013-14 เป็นซีซั่นสุดท้ายของ แทร์ สเตเก้น ในเยอรมัน ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 12 ล้านยูโร พร้อมเซ็นสัญญายาว 5 ปี 


ช่วงเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสเปนเขาต้องเจอกับข่าวร้าย เมื่อได้รับบาดเจ็บก่อนที่ฤดูกาลใหม่จะเปิดฉากขึ้นในอีกไม่นาน ทำให้ หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือของบาร์เซโลน่า ในช่วงเวลานั้นตัดสินใจใช้งาน เคลาดิโอ บราโว นายทวารทีมชาติชิลีลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงในลีก และด้วยความที่ บราโว ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ สุดท้ายสามารถยืนระยะมือ1 ยาวๆในลาลีกา และพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครอง


ในขณะที่ แทร์ สเตเก้น หายเจ็บกลับมาแต่ไม่ได้ลงสนามเลยในเกมลีก บทบาทของเขาคือเฝ้าเสาในรายการบอลถ้วย ทั้งในศึกโกปา เดล เรย์ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะถือเป็นส่วนสำคัญในการพาสโมสรกวาดแชมป์บอลถ้วยได้ทั้งสองรายการ


ในเกมนัดชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ บาร์ซ่า เอาชนะ แอธเลติก บิลเบา 3-1 ส่วนในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก บาร์เซโลน่า เอาชนะ ยูเวนตุส 3-1 ซึ่งเจ้าตัวสร้างภาพจำด้วยการเซฟบนเส้นในเกมรอบรองชนะเลิศ นัด2 ที่เจอกับ บาเยิร์น มิวนิค และจังหวะเซฟลูกนี้ถูกยกให้ได้รางวัลการเซฟยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ บทสรุปซีซั่นแรกกับการย้ายไป บาร์เซโลน่า ต้นสังกัดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ 


ในฤดูกาลที่ 2 กับ บาร์เซโลน่า แทร์ สเตเก้น เริ่มออกมาพูดถึงนโยบายการหมุนเวียนผู้เล่นของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เพราะเขามองว่าด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม ควรจะได้รับโอกาสเป็นมือ1แบบถาวร แต่การได้ลงเฝ้าเสาแค่ราว 25 นัดตลอดฤดูกาล สำหรับเขามันไม่เพียงพอ


เข้าสู่ปีที่ 3 ในสีเสื้อบาร์ซ่า แทร์ สเตเก้น ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ก็สามารถกลับมาและกลายเป็นมือ1 ของทีมอย่างถาวร ภายหลังจากที่ เคลาดิโอ บราโว ย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คราวนี้อะไรก็หยุดไม่อยู่ เขาถือเป็นปราการด่านสุดท้ายที่แข็งแกร่งของทีมเต็มตัว และได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปจนถึงปี 2022 พร้อมเงื่อนไขค่าฉีกสัญญาที่สูงถึง 180 ล้านยูโร


แทร์ สเตเก้น ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม พสทีมจบฤดูกาล 2017/18 ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ (ลาลีกา และ โกปา เดล เรย์) และนับเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสเปนเป็นสมัยที่4 ของตัวเอง 


เข้าสู่ฤดูกาล 2019/20 เขาสร้างสถิติเป็นผู้รักษาประตูคนแรกของบาร์เซโลน่า นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 ที่ทำแอสซิสต์ได้ในลาลีกา และวันที่ 6 ตุลาคม 2019 แทร์ สเตเก้น ถูกบันทุกว่าลงเฝ้าเสาให้ บาร์เซโลน่า ครบ 200 นัด 


อย่างไรก็ตามในช่วงท้ายของฤดูกาลนั้น แทร์ สเตเก้น ต้องโคจรมาเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะโดนยอดทีมจากบ้านเกิดตัวเองถลุงไป 8-2 ซึ่งเป็นการเตะสนามกลางที่ลิสบอน โปรตุเกส จากสถานการณ์แพรระบาดของโควิด-19


เข้าสู่ฤดูกาล 2020/21 แทร์ สเตเก้น เพิ่งจะเข้ารับการผ่าตัดที่หัวเข่าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้หายขาด ส่งผลให้เขาต้องพลาดลงช่วยทีมนานกว่า 2 เดือน ก่อนจะกลับมายึดมือ1คืน และเดินหน้าขยายสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปนานถึงปี 2025 โดยมีค่าฉีกสัญญา 500 ล้านยูโร


ฤดูกาลดังกล่าวมีสถิติส่วนตัวเกิดขึ้นมากมาย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2020 เขาเก็บคลีนชีตกับทีมได้ครบ 100 นัด วันที่ 6 มกราคม 2021 เขาลงเล่นให้บาร์ซ่า ครอบ 250 นัด กลายเป็นสถิติผู้รักษาประตูที่ลงเล่นมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์สโมสร ก่อนจะพาทีมจบซีซั่นด้วยการว้าแชมป์โกปา เดล เรย์


จากนั้นฤดูกาลต่อมาเขามือเปล่า ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ใดใดได้เลย จนเข้าสู่ฤดูกาล 2022/23 แทร์ สเตเก้น ถูกแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีมคนที่3 หลังจากที่ เคราร์ด ปิเก้ ตัดสินใจแขวนสตั๊ด


เขามีบทบาทกับการเป็นผู้นำในแนวรับของสโมสร ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา สเปน มาครอง และเป็นสมัยที่ 5 ของเจ้าตัว พ่วงด้วยรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของลีก(Zamora Trophy) จากผลงานเสียไปแค่ 18 ประตู จากการลงเล่น 38 นัด แถมเป็นการเก็บคลีนชีตไปได้ถึง 26 ครั้งเทียบเท่ากับสถิติตลอดกาลของลาลีกา ของปาโก เลียโญ่ ที่ทำได้ในฤดูกาล 1993–94


เข้าสู่ฤดูกาล 2024/25 แทร์ สเตเก้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีม แต่ดันมาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักเอ็นหัวเข่าฉีกขาด ในช่วงเดือนกันยายน จนต้องปิดเทอมยาว กว่าจะหายกลับมาก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายของซีซั่น


อาการบาดเจ็บครั้งนี้ของ แทร์ สเตเก้น ทำให้สโมสรจำเป็นต้องหาแผนมารองรับ แถมดันมาเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดปิดตัวลงแล้ว ทำให้ทางออกคือต้องหาผู้รักษาประตูฟรีเอเยนต์เข้ามาอุดรอยรั่ว สุดท้ายทีมตัดสินใจไปดึงตัว วอยเซียค เชสนี่ ที่เพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดไม่นานหลังยกเลิกสัญญากับยูเวนตุส มากู้วิกฤติ


การมาของ วอยเซียค เชสนี่ ถือว่าเป็นการแก้ไขได้ดีมากๆ เพราะเขายังคงฝีมือคุณภาพในเกมระดับสูง กลายเป็นของที่ดีเกินคาด และมีส่วนอย่างยิ่งกับการพาทีมกวาด 3 แชมป์ในประเทศมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ สุดท้ายเขาได้รับรางวัลตอบแทนด้วยการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปจนถึงปี 2027 


เท่านั้นยังไม่พอ สโมสรยังตัดสินใจเซ็นสัญญาคว้าตัว โจน การ์เซีย ผู้รักษาประตูวัย 24 ปี ที่กำลังได้รับการยกย่องมาจากสโมสรเอสปันญ่อล คู่แข่งร่วมแคว้นคาตาลูญญา เข้ามาร่วมทีมหมาดๆ 


คำถามที่ตามมาคืออนาคตของ แทร์ สเตเก้น จะเป็นอย่างไร จากกระแสที่ออกมาอย่างหนาหูว่าสโมสรกำลังบีบให้นักเตะหาต้นสังกัดใหม่ได้ทันที กราฟชีวิตขึ้นลงชนิดแปรผกผัน จากปลอกแขนกัปตันทีมที่ได้รับ กลายเป็นโชคร้ายเจ็บหนัก และกำลังจะไม่มีที่ว่างให้เขากลับมา จากผลงานแชมป์ลาลีกา 6 สมัย แชมป์โกปา เดล เรย์ 5 สมัย และแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย กำลังจะหมดความหมาย


ในวัย 33 ปี แน่นอนว่าเจ้าตัวหวังที่จะกลับไปติดทีมชาติเยอรมัน ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2026 เพราะฉะนั้นการได้ลงสนามต่อเนื่องก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากฝืนอยู่ต่อก็เท่ากับว่าปิดโอกาสตัวเอง มองทางไหนก็มีแต่ข้อที่จะสนับสนุนให้ย้ายทีม


สถานีต่อไปจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าเจ้าตัวจะเลือกทางเดินชีวิตอย่างไร แต่เชื่อว่าน่าจะกำลังมีหลายสโมสรยักษ์ใหญ่กำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะเปิดประตูต้อนรับ นายทวารรายนี้เข้าไปร่วมทีม

อ่านเรื่องราวอื่นๆที่น่าสนใจ

ส่องประวัติ 'โธมัส มุลเลอร์' ตำนานตลอดกาลของ 'บาเยิร์น มิวนิค'

ประวัติเส้นทางชีวิตลูกหนัง ดิโอโก้ โชต้า แด่การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ประวัติ นูโน่ เมนเดส หนึ่งในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในโลก

ที่มาข้อมูล : wikipedia

ที่มารูปภาพ : AFP