ส่องประวัติ 'คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้' หมายเลข 10 คนใหม่ของราชันชุดขาว

ส่องประวัติ 'คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้' หมายเลข 10 คนใหม่ของราชันชุดขาว

เรอัล มาดริด มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในส่วนของผู้เล่นที่ใส่หมายเลข 10 ของทีม หลังจากที่ ลูก้า โมดริช เจ้าของเสื้อเบอร์ 10 คนล่าสุดได้อำลาทีมไปหลังหมดสัญญา ทำให้หมายเลขดังกล่าวว่างลง และแน่นอนว่าต้องมีการคัดเลือกนักเตะคนใหม่ที่จะมาสวมใส่หมายเลขอันทรงเกียรตินี้

ที่ผ่านมา ถ้าพูดถึงหมายเลขที่โดดเด่นของ เรอัล มาดริด เราอาจจะนึกถึงหมายเลข 7 ที่เคยเป็นของทั้ง ราอูล กอนซาเลซ ศูนย์หน้าทีมชาติสเปนระดับตำนานของทีม จนกระทั่งมาถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ครองหมายเลข 7 ยาวนานเกือบ 10 ปี ทำให้ในระยะ 10 ปีหลังสุด หมายเลข 10 ของ เรอัล มาดริด อาจจะไม่ได้ถูกยกให้เป็นนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในทีม แม้ว่าในช่วงระหว่างนั้นอาจจะมีนักเตะอย่าง เมซุต โอซิล, ฮาเมส โรดริเกซ และ ลูก้า โมดริช สวมใส่อยู่ก็ตาม

อย่างไรก็ดี หลังจากวันนี้เป็นต้นไป หมายเลข 10 ของ เรอัล มาดริด อาจจะกลับมาเป็นเบอร์ของนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในทีมอีกครั้ง เมื่อล่าสุด ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสของทีม ที่เพิ่งย้ายมาอยู่กับ เรอัล มาดริด ได้ 1 ฤดูกาล จะเป็นผู้เล่นที่รับสืบทอดหมายเลข 10 ต่อจาก โมดริช และจะสวมใส่เสื้อเบอร์นี้ในฤดูกาล 2025-26 ที่กำลังจะมาถึง แทนที่หมายเลข 9 ที่เขาใช้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมาะสมทุกประการ

วันนี้เราจะส่องประวัติของ เอ็มบั๊ปเป้ กันหน่อยว่าเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาของเขาเป็นอย่างไร จนกระทั่งกลายเป็นกองหน้าที่มีความสำคัญที่สุดของ เรอัล มาดริด สโมสรที่โด่งดังที่สุดในโลกฟุตบอล

วัยเด็กและการเริ่มต้นบนเส้นทางลูกหนัง

คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ มีชื่อเต็มว่า คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ลอตแต็ง เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปี 1998 ที่ย่านบงดี้ ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันอายุ 26 ปี เขาเติบโตมาในครอบครัวนักกีฬา คุณพ่อของเขา วิลฟรีด เอ็มบั๊ปเป้ เป็นโค้ชทีมฟุตบอล ส่วนคุณแม่ของเขา ไฟซ่า ลามารี เป็นอดีตนักกีฬาแฮนด์บอล และยังรับหน้าที่เป็นเอเยนต์ของ เอ็มบั๊ปเป้ ด้วย ขณะที่น้องชายของเขา เอต็อง เอ็มบั๊ปเป้ ก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน โดยปัจจุบันเล่นอยู่กับ ลีลล์ ใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส นอกจากนี้ เอ็มบั๊ปเป้ ยังมีพี่ชายอีกคนที่ครอบครัวรับมาอุปถัมภ์ นั่นคือ ฌีแรส เคมโบ เอโกโก้ ก็เคยเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน

ในวัยเด็ก เอ็มบัปเป้ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกเอกชนในเมืองบงดี้ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีพรสวรรค์ทางวิชาการแต่ตัวเขากลับมีนิสัยดื้อรั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาเริ่มเรียนภาษาสเปน ก่อนที่จะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว เขามี คริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นไอดอล และมี เรอัล มาดริด เป็นสโมสรในดวงใจ แม้จะเคยยอมรับว่ามีความชื่นชอบ เอซี มิลาน ด้วยเช่นกัน และถ้าวันหนึ่งเขาได้ย้ายไปเล่นที่ อิตาลี ก็อยากจะมีโอกาสเล่นให้กับ เอซี มิลาน สักครั้ง

เอ็มบั๊ปเป้ เริ่มฉายแววพรสวรรค์ด้านฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้รับการฝึกสอนจากพ่อของเขาก่อน จากนั้นจึงได้เข้าร่วมสโมสรท้องถิ่นอย่าง อาแอส บงดี้ ในตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ ซึ่งที่นั่นเขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่โดดเด่นเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ทำให้เป็นที่จับตามองของแมวมองจากสโมสรใหญ่ทั่วยุโรป

ในปี 2011 เอ็มบั๊ปเป้ ได้มีโอกาสเข้าสู่สถาบันฝึกฟุตบอลแห่งชาติ แกล์กฟงแตน (INF Clairefontaine) ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกฟุตบอลชั้นนำของฝรั่งเศส ที่นี่เขาได้ฝึกฝนทักษะอย่างเข้มข้น และพัฒนาศักยภาพได้อย่างก้าวกระโดด ช่วงเวลาที่ แกล์กฟงแตน ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี, ลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิค แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาตัดสินใจเลือกเข้าร่วมทีมเยาวชนของ อาแอส โมนาโก ในปี 2013

สรุปข่าว

ส่องประวัติ 'คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้' หมายเลข 10 คนใหม่ของราชันชุดขาว กับเส้นทางอาชีพจากดาวรุ่งสู่การเป็นไอคอนคนใหม่ของวงการฟุตบอล

เรอัล มาดริด มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในส่วนของผู้เล่นที่ใส่หมายเลข 10 ของทีม หลังจากที่ ลูก้า โมดริช เจ้าของเสื้อเบอร์ 10 คนล่าสุดได้อำลาทีมไปหลังหมดสัญญา ทำให้หมายเลขดังกล่าวว่างลง และแน่นอนว่าต้องมีการคัดเลือกนักเตะคนใหม่ที่จะมาสวมใส่หมายเลขอันทรงเกียรตินี้

ที่ผ่านมา ถ้าพูดถึงหมายเลขที่โดดเด่นของ เรอัล มาดริด เราอาจจะนึกถึงหมายเลข 7 ที่เคยเป็นของทั้ง ราอูล กอนซาเลซ ศูนย์หน้าทีมชาติสเปนระดับตำนานของทีม จนกระทั่งมาถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ครองหมายเลข 7 ยาวนานเกือบ 10 ปี ทำให้ในระยะ 10 ปีหลังสุด หมายเลข 10 ของ เรอัล มาดริด อาจจะไม่ได้ถูกยกให้เป็นนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในทีม แม้ว่าในช่วงระหว่างนั้นอาจจะมีนักเตะอย่าง เมซุต โอซิล, ฮาเมส โรดริเกซ และ ลูก้า โมดริช สวมใส่อยู่ก็ตาม

อย่างไรก็ดี หลังจากวันนี้เป็นต้นไป หมายเลข 10 ของ เรอัล มาดริด อาจจะกลับมาเป็นเบอร์ของนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในทีมอีกครั้ง เมื่อล่าสุด ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสของทีม ที่เพิ่งย้ายมาอยู่กับ เรอัล มาดริด ได้ 1 ฤดูกาล จะเป็นผู้เล่นที่รับสืบทอดหมายเลข 10 ต่อจาก โมดริช และจะสวมใส่เสื้อเบอร์นี้ในฤดูกาล 2025-26 ที่กำลังจะมาถึง แทนที่หมายเลข 9 ที่เขาใช้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมาะสมทุกประการ

วันนี้เราจะส่องประวัติของ เอ็มบั๊ปเป้ กันหน่อยว่าเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาของเขาเป็นอย่างไร จนกระทั่งกลายเป็นกองหน้าที่มีความสำคัญที่สุดของ เรอัล มาดริด สโมสรที่โด่งดังที่สุดในโลกฟุตบอล

วัยเด็กและการเริ่มต้นบนเส้นทางลูกหนัง

คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ มีชื่อเต็มว่า คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ลอตแต็ง เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปี 1998 ที่ย่านบงดี้ ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันอายุ 26 ปี เขาเติบโตมาในครอบครัวนักกีฬา คุณพ่อของเขา วิลฟรีด เอ็มบั๊ปเป้ เป็นโค้ชทีมฟุตบอล ส่วนคุณแม่ของเขา ไฟซ่า ลามารี เป็นอดีตนักกีฬาแฮนด์บอล และยังรับหน้าที่เป็นเอเยนต์ของ เอ็มบั๊ปเป้ ด้วย ขณะที่น้องชายของเขา เอต็อง เอ็มบั๊ปเป้ ก็เป็นนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน โดยปัจจุบันเล่นอยู่กับ ลีลล์ ใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส นอกจากนี้ เอ็มบั๊ปเป้ ยังมีพี่ชายอีกคนที่ครอบครัวรับมาอุปถัมภ์ นั่นคือ ฌีแรส เคมโบ เอโกโก้ ก็เคยเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน

ในวัยเด็ก เอ็มบัปเป้ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกเอกชนในเมืองบงดี้ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีพรสวรรค์ทางวิชาการแต่ตัวเขากลับมีนิสัยดื้อรั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาเริ่มเรียนภาษาสเปน ก่อนที่จะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว เขามี คริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นไอดอล และมี เรอัล มาดริด เป็นสโมสรในดวงใจ แม้จะเคยยอมรับว่ามีความชื่นชอบ เอซี มิลาน ด้วยเช่นกัน และถ้าวันหนึ่งเขาได้ย้ายไปเล่นที่ อิตาลี ก็อยากจะมีโอกาสเล่นให้กับ เอซี มิลาน สักครั้ง

เอ็มบั๊ปเป้ เริ่มฉายแววพรสวรรค์ด้านฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้รับการฝึกสอนจากพ่อของเขาก่อน จากนั้นจึงได้เข้าร่วมสโมสรท้องถิ่นอย่าง อาแอส บงดี้ ในตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ ซึ่งที่นั่นเขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่โดดเด่นเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ทำให้เป็นที่จับตามองของแมวมองจากสโมสรใหญ่ทั่วยุโรป

ในปี 2011 เอ็มบั๊ปเป้ ได้มีโอกาสเข้าสู่สถาบันฝึกฟุตบอลแห่งชาติ แกล์กฟงแตน (INF Clairefontaine) ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกฟุตบอลชั้นนำของฝรั่งเศส ที่นี่เขาได้ฝึกฝนทักษะอย่างเข้มข้น และพัฒนาศักยภาพได้อย่างก้าวกระโดด ช่วงเวลาที่ แกล์กฟงแตน ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี, ลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิค แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาตัดสินใจเลือกเข้าร่วมทีมเยาวชนของ อาแอส โมนาโก ในปี 2013

ก้าวแรกสู่ฟุตบอลอาชีพกับโมนาโก

เอ็มบั๊ปเป้ ใช้เวลาไม่นานในการไต่เต้าจากทีมเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ของ โมนาโก เขาประเดิมสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในวันที่ 2 ธันวาคม ปี 2015 ในเกมลีก เอิง นัดที่พบกับก็อง ด้วยวัยเพียง 16 ปี 347 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามให้กับโมนาโก ทำลายสถิติเดิมของ เธียร์รี อองรี ตำนานกองหน้าชาวฝรั่งเศส ที่เคยทำไว้เมื่อปี 1994

ฤดูกาล 2016-2017 คือปีที่ เอ็มบั๊ปเป้ แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว เขาเป็นกำลังสำคัญในการพา โมนาโก คว้าแชมป์ ลีก เอิง ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี และยังพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยผลงานอันน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแชมเปี้ยนส์ ลีก เขายิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในรอบน็อคเอาท์ของรายการนี้ สถิติและฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของเขาทำให้ชื่อของเอ็มบั๊ปเป้เป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก และได้รับความสนใจจากสโมสรชั้นนำมากมาย

การย้ายสู่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สู่จุดสูงสุดของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส

หลังจบฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจกับ โมนาโก เอ็มบั๊ปเป้ ได้กลายเป็นดาวรุ่งที่เนื้อหอมที่สุดในตลาดนักเตะ สโมสรชั้นนำทั่วยุโรปต่างรุมกันแย่งชิงลายเซ็นของเขา และในที่สุด วันที่ 31 สิงหาคม ปี 2017 เอ็มบั๊ปเป้ ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล พร้อมกับมีเงื่อนไขในการบังคับซื้อในฤดูกาลถัดไป ด้วยมูลค่าสูงถึง 180 ล้านยูโร หรือกว่า 6,748 ล้านบาท ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลวัยรุ่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก เนย์มาร์ ซึ่งย้ายมามาอยู่กับ เปแอสเช ด้วยราคา 222 ล้านยูโร ก่อนหน้า เอ็มบั๊ปเป้ ไม่ถึง 1 เดือน

การย้ายมาที่ เปแอสเช ทำให้ เอ็มบั๊ปเป้ ได้ร่วมงานกับซูเปอร์สตาร์อย่าง เนย์มาร์ และ เอดินสัน คาวานี่ ก่อตั้งเป็นสามประสานในแนวรุกที่น่ากลัว และยิงประตูกับอย่างเป็นกอบเป็นกำ ตลอดการเล่นกับ เปแอสเช ตลอด 7 ปีนั้น เอ็มบั๊ปเป้ ยิงไปถึง 256 ประตูกับอีก 110 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 308 เกมรวมทุกรายการ ถือเป็นสถิติที่น่าทึ่งมากๆ โดย เอ็มบั๊ปเป้ เคยยิงได้น้อยกว่า 30 ประตูกับ เปแอสเช เพียงแค่ฤดูกาลแรกเท่านั้น หลังจากนั้นอีก 6 ซีซั่นถัดมา เขาไม่เคยยิงน้อยกว่า 30 ประตูเลย โดยปีที่เขายิงประตูได้มากที่สุด เกิดขึ้นในฤดูกาล 2023-24 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายกับ ปารีสฯ หลังทำไปทั้งสิ้น 44 ประตูจากการลงเล่น 48 นัดรวมทุกรายการ

ตลอด 7 ปีกับ เปแอสเช เอ็มบั๊ปเป้ ช่วยทีมดังของฝรั่งเศสคว้าแชมป์มาครองได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ ลีก เอิง 6 สมัย, แชมป์ เฟร้นช์ คัพ 4 สมัย และ เฟร้นช์ ลีก คัพ  2 สมัย แต่มีอยู่เพียงแค่รายการเดียวที่ไม่เคยทำสำเร็จ นั่นคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดย เปแอสเช ในยุคของ เอ็มบั๊ปเป้ ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์ ในฤดูกาล 2019-20 หลังพ่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบชิงชนะเลิศ ไปอย่างน่าเจ็บใจ 0-1

ช่วงเวลาของเขาที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถือเป็นช่วงที่ เอ็มบั๊ปเป้ เติบโตจากดาวรุ่งพรสวรรค์สูง สู่หนึ่งในนักฟุตบอลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก เขาคว้าแชมป์อย่างมากมาย สร้างสถิติส่วนตัวที่น่าทึ่ง นั่นทำให้ข่าวลือว่าเขาจะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เกิดขึ้นแทบจะทุกๆ ซัมเมอร์ และในที่สุดมันก็เกิดขึ้น ในวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 2024 เมื่อเขาประกาศว่าจะไม่ต่อสัญญากับ เปแอสเช และจะย้ายออกจากทีมหลังจบฤดูกาล แม้ว่าจะไม่ได้บอกว่าสโมสรใหม่คือที่ใด แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า เอ็มบั๊ปเป้ จะย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด อย่างแน่นอน

ยกระดับสู่ เรอัล มาดริด กับความฝันที่เป็นจริง

ในวันที่ 3 มิถุนายน ปี 2024 ความฝันของ เอ็มบั๊ปเป้ และแฟนบอล เรอัล มาดริด ก็เป็นจริง เมื่อทีมราชันชุดขาวได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ได้เซ็นสัญญาร่วมทีมในฐานะผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ หลังจากที่สัญญากับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน ปี 2024 โดยมีรายงานว่าเขาเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 5 ปี ไปจนถึงปี 2029

การย้ายมาร่วมทัพ เรอัล มาดริด ถือเป็นการเติมเต็มความทะเยอทะยานของ เอ็มบั๊ปเป้ ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ใน ลา ลีกา สเปน และโอกาสในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นถ้วยที่ เรอัล มาดริด ครองความยิ่งใหญ่ แม้จะมีแรงกดดันมหาศาล แต่ เอ็มบั๊ปเป้ ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถระดับโลกตั้งแต่ฤดูกาลแรกของเขากับสโมสร

เอ็มบั๊ปเป้ เปิดตัวกับ เรอัล มาดริด ในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกในเกมที่พบกับ อตาลันต้า ในศึก ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2024 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2024 และสามารถยิงประตูแรกให้ทีมได้ทันที ช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าชัยชนะไป 2-0 คว้าแชมป์รายการแรกมาครองได้สำเร็จ

หลังจากนั้น เอ็มบั๊ปเป้ ก็ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาล 2024-25 โดยเขาทำลายสถิติการยิงประตูสูงสุดในฤดูกาลแรกให้กับ เรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสถิติที่ยืนยงมานานกว่า 32 ปีของ อีวาน ซาโมราโน่ ที่เคยทำไว้ 37 ประตูในฤดูกาล 1992-93 โดย เอ็มบั๊ปเป้ ยิงไปทั้งสิ้น 44 ประตูจากการลงสนาม 53 นัดในทุกรายการ

จากผลงานดังกล่าวทำให้เขาคว้ารางวัลปิชิชี่ หรือดาวซัลโวสูงสุดของ ลา ลีกา ด้วยผลงาน 31 ประตู จาก 34 นัด และยังคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ หรือดาวซัลโวสูงสุดของยุโรปมาครองได้อีกด้วย แม้ว่าในฤดูกาลนี้ เรอัล มาดริด จะไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่มาครองได้เลยก็ตาม โดยใน ลา ลีกา และ โกปา เดล เรย์ นั้น พวกเขาได้เพียงแค่ตำแหน่งรองแชมป์ โดยแพ้ให้กับ บาร์เซโลน่า ไปทั้งสองรายการ ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น พวกเขาไปได้ไกลเพียงแค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น

การครองแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศส

เอ็มบั๊ปเป้ ประเดิมสนามให้กับทีมชาติฝรั่งเศสชุดใหญ่ ในวันที่ 25 มีนาคม ปี 2017 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก นัดที่พบกับ ลักเซมเบิร์ก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับการเรียกติดทีมชาติฝรั่งเศสชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย

ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น เอ็มบั๊ปเป้ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยคนที่สองที่ยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ต่อจาก เปเล่ ตำนานนักเตะทีมชาติบราซิล และทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งในรอบน็อคเอาท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่พบกับอาร์เจนติน่า เขายิง 2 ประตู และเรียกจุดโทษได้ 1 ครั้ง พาทีมคว้าชัยชนะไปได้อย่างสวยงาม

ในรอบชิงชนะเลิศที่ฝรั่งเศสพบกับโครเอเชีย เอ็มบั๊ปเป้ ยิงได้ 1 ประตู ช่วยให้ฝรั่งเศสเอาชนะไป 4-2 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สองมาครองได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 19 ปี เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองที่ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศต่อจาก เปเล่ อีกเช่นกัน ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ไปครอง

หลังคว้าแชมป์โลก เอ็มบั๊ปเป้ ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติฝรั่งเศส เขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ แม้จะทำแฮตทริกได้ในรอบชิงชนะเลิศ แต่ฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษให้กับอาร์เจนติน่าไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม เอ็มบั๊ปเป้ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำ ในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์ ด้วยจำนวน 8 ประตู

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ นักฟุตบอลที่มาพร้อมกับพรสวรรค์อันล้นเหลือ ความมุ่งมั่น และความสามารถในการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง จากดาวรุ่งพุ่งแรงที่ โมนาโก สู่ซูเปอร์สตาร์ผู้สร้างสถิติมากมายที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และล่าสุดกับการย้ายมาร่วมทีมในฝันอย่าง เรอัล มาดริด พร้อมกับสถานะแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศส

เขาสร้างปรากฏการณ์และสถิติมากมายในโลกฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยศักยภาพที่ยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก ทำให้เขากลายเป็นความหวังและไอคอนของวงการฟุตบอลยุคใหม่ และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นไปเป็นตำนานเคียงข้างยอดนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน โรนัลโด้ ในอนาคต...

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : AFP