
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากใครที่เป็นแฟนของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ย่อมต้องรู้ดีว่ามีนักเตะที่ถือว่าสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติสโมสรได้ประกาศอำลาทีม หลังค้าแข้งกับทีมไก่เดือยทองมายาวนาน 10 ปีเต็ม และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์มาครองได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว คนๆ นั้นก็คือ ซน ฮึง-มิน ยอดกองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้วัย 33 ปี
แอปพลิเคชัน TrueVisions Now พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้
NOW FOOTBALL 199 บาท/เดือน สำหรับลูกค้าทรูและดีแทค (1 จอ / ดูได้ทุกอุปกรณ์) ดูฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย มากที่สุดในไทย เชียร์มันจุใจกับฟุตบอลสด พร้อมพากย์สดจากนักพากย์ทรูวิชั่นส์
📲 สมัครได้แล้ววันนี้ คลิก - https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/0gcqmn31
ซน ฮึง-มิน หรือที่เพื่อนร่วมทีมมักจะเรียกติดปากว่า "ซอนนี่" ถือเป็นนักเตะเอเชียที่น่าจะถูกยกให้มีความเก่งกาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการลูกหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เป็นชาวเกาหลี ซึ่งเป็นคนเอเชียตะวันออก ไม่ใช่พวกอาหรับหรือตะวันออกกลาง ยิ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ได้ค้าแข้งกับสโมสรที่มีชื่อเสียงอย่างยาวนานยิ่งเป็นไปได้ยาก
แต่ ซน ฮึง-มิน นั้นทำได้ และทำได้ดีมากๆ ด้วย แม้ว่าจำนวนแชมป์เขาอาจจะเทียบกับรุ่นพี่อย่าง พาร์ค ชี-ซอง อดีตกองกลางจอมอึดที่คว้าแชมป์อย่างมากมายกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ แต่ถ้าวัดกันที่ผลงานส่วนตัว, ความมีอิทธิพลและความสำคัญต่อทีม ก็ต้องยอมรับว่า ซน ฮึง-มิน เป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบกว่าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นกองหน้าและสามารถยิงประตูตัดสินชี้เป็นชี้ตายให้กับทีมได้
หลังเล่นกับ สเปอร์ส มายาวนาน 10 ปีเต็ม ซน ฮึง-มิน ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะขออำลาทีม และจะย้ายไปเล่นให้กับ แอลเอ เอฟซี ทีมในศึกเมเจอร์ ลีก ซอคเก้อร์ สหรัฐฯ ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร หรือราว 562 ล้านบาท เรียกได้ว่ายังสามารถทำกำไรให้กับทีมได้จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยจริงๆ
วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ ซน ฮึง-มิน กันว่าเส้นทางอาชีพของเขาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และทำไมเขาถึงได้กลายเป็นตำนานนักเตะผู้เป็นสัญลักษณ์ของทวีปเอเชีย
สรุปข่าว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากใครที่เป็นแฟนของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ย่อมต้องรู้ดีว่ามีนักเตะที่ถือว่าสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติสโมสรได้ประกาศอำลาทีม หลังค้าแข้งกับทีมไก่เดือยทองมายาวนาน 10 ปีเต็ม และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์มาครองได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว คนๆ นั้นก็คือ ซน ฮึง-มิน ยอดกองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้วัย 33 ปี
แอปพลิเคชัน TrueVisions Now พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้
NOW FOOTBALL 199 บาท/เดือน สำหรับลูกค้าทรูและดีแทค (1 จอ / ดูได้ทุกอุปกรณ์) ดูฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย มากที่สุดในไทย เชียร์มันจุใจกับฟุตบอลสด พร้อมพากย์สดจากนักพากย์ทรูวิชั่นส์
📲 สมัครได้แล้ววันนี้ คลิก - https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/0gcqmn31
ซน ฮึง-มิน หรือที่เพื่อนร่วมทีมมักจะเรียกติดปากว่า "ซอนนี่" ถือเป็นนักเตะเอเชียที่น่าจะถูกยกให้มีความเก่งกาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการลูกหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เป็นชาวเกาหลี ซึ่งเป็นคนเอเชียตะวันออก ไม่ใช่พวกอาหรับหรือตะวันออกกลาง ยิ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ได้ค้าแข้งกับสโมสรที่มีชื่อเสียงอย่างยาวนานยิ่งเป็นไปได้ยาก
แต่ ซน ฮึง-มิน นั้นทำได้ และทำได้ดีมากๆ ด้วย แม้ว่าจำนวนแชมป์เขาอาจจะเทียบกับรุ่นพี่อย่าง พาร์ค ชี-ซอง อดีตกองกลางจอมอึดที่คว้าแชมป์อย่างมากมายกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ แต่ถ้าวัดกันที่ผลงานส่วนตัว, ความมีอิทธิพลและความสำคัญต่อทีม ก็ต้องยอมรับว่า ซน ฮึง-มิน เป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบกว่าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นกองหน้าและสามารถยิงประตูตัดสินชี้เป็นชี้ตายให้กับทีมได้
หลังเล่นกับ สเปอร์ส มายาวนาน 10 ปีเต็ม ซน ฮึง-มิน ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะขออำลาทีม และจะย้ายไปเล่นให้กับ แอลเอ เอฟซี ทีมในศึกเมเจอร์ ลีก ซอคเก้อร์ สหรัฐฯ ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร หรือราว 562 ล้านบาท เรียกได้ว่ายังสามารถทำกำไรให้กับทีมได้จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยจริงๆ
วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ ซน ฮึง-มิน กันว่าเส้นทางอาชีพของเขาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และทำไมเขาถึงได้กลายเป็นตำนานนักเตะผู้เป็นสัญลักษณ์ของทวีปเอเชีย
ชีวิตในวัยเด็กและเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ซน ฮึง-มิน เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ปี 1992 ที่เมืองชุนชอน จังหวัดคังวอน ประเทศเกาหลีใต้ ปัจจุบันมีอายุ 33 ปี เขาเติบโตมาในครอบครัวที่คลุกคลีอยู่กับฟุตบอล พ่อของเขา ซน วุง-จอง ก็เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพที่ผันตัวมาเป็นโค้ช หลังจากเกษียณตัวเองจากวงการฟุตบอลด้วยอาการบาดเจ็บ ซน วุง-จอง ได้ก่อตั้งสถาบันฟุตบอลส่วนตัวขึ้นมาและได้เป็นโค้ชคนแรกของลูกชาย
ซน ฮึง-มิน ไม่ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายเหมือนนักฟุตบอลบางคน แต่เขาได้รับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจากพ่อของเขามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาฝีเท้า ซน วุง-จอง เน้นย้ำให้ลูกชายฝึกทักษะพื้นฐานอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงบอล การยิงประตู และความแข็งแกร่งของร่างกายตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
การฝึกซ้อมที่หนักหน่วงทำให้ ซน ฮึง-มิน ได้รับการปลูกฝังวินัยและความอดทน ซึ่งกลายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพในเวลาต่อมา แม้จะมีโอกาสได้ฝึกซ้อมกับทีมเยาวชนของสโมสร เอฟซี โซล ในบ้านเกิด แต่ซนก็ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตด้วยการย้ายไปฝึกฟุตบอลที่เยอรมนีกับสโมสร ฮัมบูร์ก เมื่อปี 2008 ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น ถือเป็นความกล้าหาญอย่างมากในการออกไปเผชิญชีวิตในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งเรื่องของวัฒนธรรมและภาษา
การเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งในยุโรปกับ ฮัมบูร์ก และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
การย้ายไปเยอรมนีในวัยเพียง 16 ปี ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของซน เขาต้องปรับตัวเข้ากับภาษาและวัฒนธรรมใหม่ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและพรสวรรค์ที่มี ทำให้เขาพัฒนาฝีเท้าได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 2010 ซน ฮึง-มิน ได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ ฮัมบูร์ก เป็นครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่อง และเขาก็ทำประตูได้ทันทีในนัดนั้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นอาชีพในยุโรป เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้สโมสรได้ในบุนเดสลีกาและได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลอย่างรวดเร็ว
ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับ ฮัมบูร์ก นั้น ซน ฮึง-มิน ได้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยความเร็วที่จัดจ้าน การจบสกอร์ที่คมกริบ และทักษะการเลี้ยงบอลที่เหนือกว่าผู้เล่นหลายคนในลีก ตลอด 3 ฤดูกาลที่เล่นให้กับ ฮัมบูร์ก ในบุนเดสลีกานั้น เขาทำไป 20 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 78 เกมรวมทุกรายการ โดยเฉพาะในฤดูกาล 2012-13 ที่เขาระเบิดฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อทำไปถึง 12 ประตูจากการลงเล่น 33 นัดในลีก
จากผลงานอันโดดเด่นดังกล่าวทำให้ในช่วงหน้าร้อนปี 2013 ซน ฮึง-มิน ก็ได้ย้ายไปร่วมทีม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 10 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรในขณะนั้น การย้ายทีมครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้น เพราะเลเวอร์คูเซ่นเป็นทีมชั้นนำที่ได้ลงเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และกลายเป็นตัวหลักของทีมได้ในทันที เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมห้างขายยา โดยทำประตูและแอสซิสต์ได้อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการฟุตบอลยุโรป
ผลงานของ ซน ฮึง-มิน ปีแรกกับ เลเวอร์คูเซ่น นั้นน่าประทับใจทีเดียว เมื่อทำไป 12 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 43 เกมในทุกรายการ และในปีถัดมา ในฤดูกาล 2014-15 ก็ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อเพิ่งเป็น 17 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 42 นัด นั่นทำให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มองเห็นถึงศักยภาพ และคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในที่สุด
การผงาดสู่ซูเปอร์สตาร์แห่งพรีเมียร์ลีกกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
การย้ายมายัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 22 ล้านปอนด์ (ราว 947 ล้านบาท) ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในอาชีพของ ซน ฮึง-มิน และเป็นจุดเริ่มต้นของบทบาทที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพรีเมียร์ลีกและเป็นตำนานของสโมสร
ฤดูกาล 2015-2016 : ช่วงเวลาแห่งการปรับตัว
ในช่วงแรกของการมาถึง ซน ฮึง-มิน ต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนักจากค่าตัวที่สูงและสภาพแวดล้อมใหม่ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งและเข้มข้นทางกายภาพ แม้จะเริ่มต้นได้ดีด้วยการทำประตูในเกมยุโรป แต่ฟอร์มการเล่นโดยรวมของเขายังไม่สม่ำเสมอ เขาต้องดิ้นรนเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และทำได้เพียง 8 ประตูจากการลงเล่น 40 นัดในทุกรายการ ท้ายฤดูกาลมีข่าวลือว่าเขาอาจจะถูกขายออกจากทีม แต่ ซน ฮึง-มิน ยังยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองในสโมสรต่อไป
ฤดูกาล 2016-2017 : การกลับมาที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
หลังจากตัดสินใจอยู่กับสเปอร์สต่อ ซน ฮึง-มิน ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ เขาทำได้ถึง 21 ประตูในทุกรายการ และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกถึง 2 ครั้ง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาได้ปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ซนกลายเป็นกำลังสำคัญในแนวรุกของทีมและเริ่มสร้างสายสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน และ เดเล่ อัลลี
หลังจากที่ปรับตัวกับทีมได้แล้ว ซน ฮึง-มิน ก็กลายเป็นกำลังสำคัญของสเปอร์สชนิดที่จะขาดไปไม่ได้ เขาทำประตูได้ไม่น้อยกว่า 18 ประตูถึง 5 ปีติดต่อกัน และยิงได้เกิน 10 ประตูทุกฤดูกาลตั้งแต่ฤดูกาลที่ 2 เป็นต้นมา เขาเป็นกำลังสำคัญในทีมของเทรนเนอร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น โปเช็ตติโน่ เรื่อยมาจากถึงยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่, อันโตนิโอ คอนเต้ และ แอนจ์ พอสเตโคกลู
ในฤดูกาล 2018-19 ซน ฮึง-มิน มีบทบาทสำคัญในการพาสเปอร์สผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบก่อนรองชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เขาเป็นคนทำประตูชัยในเกมที่สอง พาทีมเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน เนื่องจากไปพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศแบบน่าเจ็บใจ
จากนั้นในฤดูกาล 2019-20 ซน ฮึง-มิน สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการทำประตูที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก เมื่อเขาเลี้ยงบอลจากหน้าประตูตัวเองกว่า 70 เมตร ฝ่าผู้เล่นของ เบิร์นลี่ย์ หลายคนเข้าไปทำประตู ซึ่งประตูนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล ปุสกัส อวอร์ด (Puskás Award) ของฟีฟ่าในปีถัดมาอีกด้วย
นอกจากนี้ การได้จับคู่กับ แฮร์รี่ เคน ทำให้ความเข้าใจในการเล่นระหว่างทั้งคู่ได้พัฒนาไปถึงจุดสูงสุด ทั้ง เคน และ ซน กลายเป็นคู่หูในแนวรุกที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีก ทำสถิติเป็นคู่หูที่ทำประตูร่วมกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2021-2022 : รางวัลรองเท้าทองคำ
นี่คือฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ซน ฮึง-มิน หากว่ามองที่ผลงานส่วนตัว หลังยิงไปถึง 23 ประตูในพรีเมียร์ลีก และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือประตูของเขามาจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ทั้งหมด ไม่มีลูกจุดโทษเลย ทำให้เขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ของ ลิเวอร์พูล และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำมาครองได้สำเร็จ กลายเป็นนักฟุตบอลเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทำได้ ซึ่งเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาและทวีปเอเชีย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอยู่กับ สเปอร์ส มาอย่างยาวนาน แต่สิ่งหนึ่งที่ ซน ฮึง-มิน ทำไม่สำเร็จเสียทีนั่นคือการพาทีมไก่เดือยทองคว้าแชมป์อะไรสักอย่าง จนกระทั่งเดินทางมาถึงในฤดูกาล 2024-25 ซึ่งเป็นปีที่ 10 ที่เขาเล่นให้กับ สเปอร์ส นั้น ในที่สุด ซน ฮึง-มิน ก็พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ แม้ว่าฤดูกาลนี้เขาอาจจะทำประตูได้ไม่เยอะเหมือนหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงยังเจอกับปัญหาบาดเจ็บ โดยในปีนี้เขายิงไปเพียง 7 ประตูในพรีเมียร์ลีก และ 11 ประตูจากการลงเล่น 46 เกมรวมทุกรายการ รวมถึง สเปอร์ส ก็มีผลงานที่น่าผิดหวังในพรีเมียร์ลีก เมื่อจบในอันดับที่ 17 ของตาราง เกือบจะต้องตกชั้น
แต่ในรายการอย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก นั้น สเปอร์ส ฝ่าด่านไปได้เรื่อยๆ จนไปเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งแชมป์รายการนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นแชมป์เมเจอร์แรกของ ซน ฮึง-มิน กับ สเปอร์ส แล้ว ยังช่วยทำให้ทีมคว้าสิทธิ์ไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีหน้าได้อีกด้วย แม้จะจบอันดับที่ 17 ในพรีเมียร์ลีกก็ตาม ซึ่งพวกเขาก็ทำสำเร็จจริงๆ เมื่อเป็นฝ่ายชนะไป 1-0 เป็นแชมป์แรกและแชมป์เดียวที่ ซน ฮึง-มิน ทำได้กับ สเปอร์ส
การเป็นผู้นำทีมชาติเกาหลีใต้
นอกเหนือจากความสำเร็จในระดับสโมสรแล้ว ซน ฮึง-มิน ยังเป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติเกาหลีใต้ เขานำทีมชาติเกาหลีใต้ไปสู่ความสำเร็จหลายครั้ง การลงเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในปี 2010 และเขาก็ได้ติดทีมไปเล่นฟุตบอลโลกหลายสมัย รวมถึงฟุตบอลเอเชียน คัพ อีกหลายครั้ง
หนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของ ซน ฮึง-มิน กับทีมชาติคือการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ในปี 2018 ซึ่งทำให้เขาได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหารตามกฎหมายของเกาหลีใต้ ทำให้เขาสามารถมุ่งมั่นในอาชีพนักฟุตบอลได้อย่างเต็มที่และยังคงเป็นกำลังสำคัญให้กับสโมสรและทีมชาติต่อไป โดยปัจจุบัน ซน ฮึง-มิน ลงเล่นให้เกาหลีใต้ไปแล้วทั้งสิ้น 134 นัด ทำไป 51 ประตูด้วยกัน
ในวันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ซน ฮึง-มิน ได้ลงเล่นให้กับ สเปอร์ส เป็นนัดสุดท้าย ในเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นที่พบกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และเสมอกันไป 1-1 ซึ่งก่อนจะลงเล่นเกมนัดนี้ เขาได้ประกาศไปก่อนแล้วว่าจะอำลาทีมไปเล่นให้กับ แอลเอ เอฟซี ใน เมเจอร์ ลีก ซอคเก้อร์ เป็นการปิดฉาก 10 ปีกับทีมอย่างยิ่งใหญ่
ซน ฮึง-มิน ได้สร้างตำนานและกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของนักฟุตบอลเอเชียในระดับโลกอย่างแท้จริง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เล่นที่เก่งกาจ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ด้วยความทุ่มเท มีวินัย และพรสวรรค์ที่โดดเด่น ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา และจะถูกจดจำในฐานะตำนานแห่งวงการฟุตบอลตลอดไปอย่างแน่นอน...
- อินเดียอาจซื้อเครื่องบินรบเกาหลีใต้ KF-21 Boramae สูงสุด 60 ลำ
- เกาหลีใต้ถอนลำโพงยักษ์ติดชายแดนเกาหลีเหนือแล้วเป็นวันแรก ย้ำท่าทีฟื้นสัมพันธ์
- เกาหลีใต้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และกลายเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ได้อย่างไร ?
- K-Beauty สะเทือนจากภาษีทรัมป์ คนอเมริกันเร่งตุนสินค้า
- ยุน ซ็อก-ยอล "ถอดเสื้อผ้าประท้วง" ปฏิเสธการสอบสวน ปมประกาศกฎอัยการศึก
- ทรัมป์ปิดดีลเกาหลีใต้-ปากีสถาน ส่วนแคนาดาเผยปิดดีลไม่ทันเส้นตาย
- "ทรัมป์" ปิดดีลเกาหลีใต้ ลดภาษีเหลือ 15% เท่าญี่ปุ่น-อียู แลกลงทุน 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ-ซื้อพลังงาน
