
การประกาศรางวัลบังลงดอร์ 2025 จากนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันจันทร์ที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นการแข่งขันกันระหว่าง อุสมาน เดมเบเล่ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง เจ้าของทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว กับ ลามีน ยามาล ไอ้หนูมหัศจรรย์จากทีมชาติสเปนและ บาร์เซโลน่า ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะเป็น เดมเบเล่ ที่ได้ลูกบอลทองคำไปนอนกอดเป็นสมัยแรกของตัวเอง
ทั้งนี้ การที่ เดมเบเล่ ได้รางวัลบังลงดอร์ประจำปีนี้ไปครอง ไม่ใช่เรื่องค้านสายตาแต่อย่างใด เพราะผลงานของ "เดมบูซ" เมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้นโดดเด่นอย่างมากจริงๆ เขาทั้งยิงทั้งจ่ายและสร้างอิมแพคกับทีมได้ในหลายๆ เกม จนทำให้ไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ เปแอสเช รอคอยมาอย่างยาวนานหลายสิบปี รวมถึงยังได้แชมป์ในประเทศครบถ้วนทั้ง ลีก เอิง และ เฟร้นซ์ คัพ
อย่างไรก็ตาม มีนักเตะอยู่หนึ่งรายที่ถูก Underrated ทั้งๆ ที่ผลงานของเขาไม่ได้เป็นรอง เดมเบเล่ หรืออันที่จริงถ้ามองแค่ตัวเลขสถิติแบบเพียวๆ ยังดูดีกว่า ยามาล เพื่อนร่วมทีมของเขาด้วยซ้ำไป แต่เมื่อผลโหวตออกมา เขากลับอยู่แค่อันดับที่ 5 เท่านั้น เป็นรอง วิตินญ่า กองกลางทีมชาติโปรตุเกสของ เปแอสเช ที่ได้อันดับ 3 และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยอดกองหน้าของ ลิเวอร์พูล ที่ได้อันดับ 4
คนที่เรากำลังพูดถึงก็คือ ราฟินญ่า แนวรุกทีมชาติบราซิลของ บาร์เซโลน่า เจ้าของสถิติ 34 ประตูกับอีก 25 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 57 เกมรวมทุกรายการให้กับ บาร์เซโลน่า เมื่อฤดูกาล 2024-25 นั่นเอง วันนี้เราจะมาส่องประวัติของเจ้าตัวกันหน่อยว่ามีเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาเป็นอย่างไร...
ชีวิตในวัยเด็กที่ยากลำบาก
ราฟาเอล ดิอาส เบลโลลี หรือที่รู้จักกันในชื่อ ราฟินญ่า เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1996 (ปัจจุบันอายุ 28 ปี) เขาเกิดที่เมืองปอร์ตูอาเลเกร ประเทศบราซิล และเติบโตในย่านสลัมที่ชื่อ เรสเตงก้า ซึ่งอยู่ไกลจากใจกลางเมืองมาก ครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบาก เขาเคยเล่าว่าต้องนอนในห้องเดียวกับพ่อแม่, น้องชาย และสัตว์เลี้ยง และบางครั้งก็ต้องเขาก็ต้องขออาหารจากผู้อื่นเพื่อประทังชีวิต
ตอนอายุได้ 7 ขวบ เขาได้เข้าร่วมงานวันเกิดของ โรนัลดินโญ่ ตำนานกองหน้าทีมชาติบราซิล เนื่องจากพ่อและลุงของเขารู้จักกับยอดนักเตะรายนี้ และหลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนกัน ราฟินญ่า เคยเล่นฟุตบอลในทัวร์นาเมนต์ วาร์เซีย ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลข้างถนนที่จัดโดยชุมชนท้องถิ่นจนกระทั่งอายุ 18 ปี ซึ่งเขาเคยบรรยายไว้ว่าเป็นการเล่นในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยความท้าทาย
นอกจากนี้ เขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างยาวนานกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กองกลางทีมชาติโปรตุเกสอของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่สมัยก่อนที่เขาทั้งคู่จะได้เล่นด้วยกันที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยซ้ำ ซึ่ง ราฟินญ่า ยอมรับว่า บรูโน่ คือคนที่มีส่วนช่วยอย่างมากในอาชีพค้าแข้งของเขา
เส้นทางการค้าแข้งในระดับสโมสร
ราฟินญ่า เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรอาวาอี หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการทดสอบฝีเท้ากับทีมใหญ่อย่าง อินเตอร์นาซิอองนาล และ เกรมิโอ เขาได้เข้าร่วมทีมเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 20 ปีของ อาวาอี ในปี 2014 ในขณะที่เขามีอายุได้ 18 ปี
จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ราฟินญ่า ได้เซ็นสัญญากับทีม วิตอเรีย กิมาไรส์ สโมสรในโปรตุเกส ซึ่งที่นี่เขาได้กลายเป็นผู้เล่นที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและคว้ารางวัลนักเตะหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรในปี 2017 โดยทำสถิติยิงไป 18 ประตู จากการลงเล่น 43 นัดในทุกรายการในฤดูกาล 2017-18
สปอร์ติ้ง ลิสบอน
ในเดือนพฤษภาคม 2018 จากผลงานที่โดดเด่นกับ กีมาไรส์ ทำให้ ราฟินญ่า ได้ย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่ของลีกอย่าง สปอร์ติ้ง ลิสบอน และใช้เวลาไม่นานก็ทำประตูแรกกับทีมได้ ในเกมที่พบกับ คาราบัก ในศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เมื่อวันที่ 20 กันยายน แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการจบสกอร์และอาการบาดเจ็บ แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของทีม ในการคว้าดับเบิลแชมป์อย่าง โปรตุกีส คัพ และ ลีก คัพ โดย ราฟินญ่า ทำไป 7 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 36 นัดในทุกรายการ
แรนส์
แม้ว่าผลงานกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน จะไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากนัก แต่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ราฟินญ่า หลังจากที่ฤดูกาล 2019-20 เปิดฉากได้ไม่นาน ราฟินญ่า ก็ถูก แรนส์ ในลีก เอิง ฝรั่งเศส คว้าตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวราว 21 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรในเวลานั้น ที่ ลีก เอิง เขาเล่นได้อย่างโดดเด่น ทำไป 7 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 30 นัดรวมทุกรายการ และช่วยให้ แรนส์ จบอันดับ 3 ของตาราง และคว้าสิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จ
สรุปข่าว
การประกาศรางวัลบังลงดอร์ 2025 จากนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันจันทร์ที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นการแข่งขันกันระหว่าง อุสมาน เดมเบเล่ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง เจ้าของทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว กับ ลามีน ยามาล ไอ้หนูมหัศจรรย์จากทีมชาติสเปนและ บาร์เซโลน่า ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะเป็น เดมเบเล่ ที่ได้ลูกบอลทองคำไปนอนกอดเป็นสมัยแรกของตัวเอง
ทั้งนี้ การที่ เดมเบเล่ ได้รางวัลบังลงดอร์ประจำปีนี้ไปครอง ไม่ใช่เรื่องค้านสายตาแต่อย่างใด เพราะผลงานของ "เดมบูซ" เมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้นโดดเด่นอย่างมากจริงๆ เขาทั้งยิงทั้งจ่ายและสร้างอิมแพคกับทีมได้ในหลายๆ เกม จนทำให้ไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ เปแอสเช รอคอยมาอย่างยาวนานหลายสิบปี รวมถึงยังได้แชมป์ในประเทศครบถ้วนทั้ง ลีก เอิง และ เฟร้นซ์ คัพ
อย่างไรก็ตาม มีนักเตะอยู่หนึ่งรายที่ถูก Underrated ทั้งๆ ที่ผลงานของเขาไม่ได้เป็นรอง เดมเบเล่ หรืออันที่จริงถ้ามองแค่ตัวเลขสถิติแบบเพียวๆ ยังดูดีกว่า ยามาล เพื่อนร่วมทีมของเขาด้วยซ้ำไป แต่เมื่อผลโหวตออกมา เขากลับอยู่แค่อันดับที่ 5 เท่านั้น เป็นรอง วิตินญ่า กองกลางทีมชาติโปรตุเกสของ เปแอสเช ที่ได้อันดับ 3 และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยอดกองหน้าของ ลิเวอร์พูล ที่ได้อันดับ 4
คนที่เรากำลังพูดถึงก็คือ ราฟินญ่า แนวรุกทีมชาติบราซิลของ บาร์เซโลน่า เจ้าของสถิติ 34 ประตูกับอีก 25 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 57 เกมรวมทุกรายการให้กับ บาร์เซโลน่า เมื่อฤดูกาล 2024-25 นั่นเอง วันนี้เราจะมาส่องประวัติของเจ้าตัวกันหน่อยว่ามีเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาเป็นอย่างไร...
ชีวิตในวัยเด็กที่ยากลำบาก
ราฟาเอล ดิอาส เบลโลลี หรือที่รู้จักกันในชื่อ ราฟินญ่า เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1996 (ปัจจุบันอายุ 28 ปี) เขาเกิดที่เมืองปอร์ตูอาเลเกร ประเทศบราซิล และเติบโตในย่านสลัมที่ชื่อ เรสเตงก้า ซึ่งอยู่ไกลจากใจกลางเมืองมาก ครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบาก เขาเคยเล่าว่าต้องนอนในห้องเดียวกับพ่อแม่, น้องชาย และสัตว์เลี้ยง และบางครั้งก็ต้องเขาก็ต้องขออาหารจากผู้อื่นเพื่อประทังชีวิต
ตอนอายุได้ 7 ขวบ เขาได้เข้าร่วมงานวันเกิดของ โรนัลดินโญ่ ตำนานกองหน้าทีมชาติบราซิล เนื่องจากพ่อและลุงของเขารู้จักกับยอดนักเตะรายนี้ และหลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนกัน ราฟินญ่า เคยเล่นฟุตบอลในทัวร์นาเมนต์ วาร์เซีย ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลข้างถนนที่จัดโดยชุมชนท้องถิ่นจนกระทั่งอายุ 18 ปี ซึ่งเขาเคยบรรยายไว้ว่าเป็นการเล่นในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยความท้าทาย
นอกจากนี้ เขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างยาวนานกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กองกลางทีมชาติโปรตุเกสอของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่สมัยก่อนที่เขาทั้งคู่จะได้เล่นด้วยกันที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยซ้ำ ซึ่ง ราฟินญ่า ยอมรับว่า บรูโน่ คือคนที่มีส่วนช่วยอย่างมากในอาชีพค้าแข้งของเขา
เส้นทางการค้าแข้งในระดับสโมสร
ราฟินญ่า เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรอาวาอี หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการทดสอบฝีเท้ากับทีมใหญ่อย่าง อินเตอร์นาซิอองนาล และ เกรมิโอ เขาได้เข้าร่วมทีมเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 20 ปีของ อาวาอี ในปี 2014 ในขณะที่เขามีอายุได้ 18 ปี
จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ราฟินญ่า ได้เซ็นสัญญากับทีม วิตอเรีย กิมาไรส์ สโมสรในโปรตุเกส ซึ่งที่นี่เขาได้กลายเป็นผู้เล่นที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและคว้ารางวัลนักเตะหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรในปี 2017 โดยทำสถิติยิงไป 18 ประตู จากการลงเล่น 43 นัดในทุกรายการในฤดูกาล 2017-18
สปอร์ติ้ง ลิสบอน
ในเดือนพฤษภาคม 2018 จากผลงานที่โดดเด่นกับ กีมาไรส์ ทำให้ ราฟินญ่า ได้ย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่ของลีกอย่าง สปอร์ติ้ง ลิสบอน และใช้เวลาไม่นานก็ทำประตูแรกกับทีมได้ ในเกมที่พบกับ คาราบัก ในศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เมื่อวันที่ 20 กันยายน แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการจบสกอร์และอาการบาดเจ็บ แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของทีม ในการคว้าดับเบิลแชมป์อย่าง โปรตุกีส คัพ และ ลีก คัพ โดย ราฟินญ่า ทำไป 7 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 36 นัดในทุกรายการ
แรนส์
แม้ว่าผลงานกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน จะไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากนัก แต่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ราฟินญ่า หลังจากที่ฤดูกาล 2019-20 เปิดฉากได้ไม่นาน ราฟินญ่า ก็ถูก แรนส์ ในลีก เอิง ฝรั่งเศส คว้าตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวราว 21 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรในเวลานั้น ที่ ลีก เอิง เขาเล่นได้อย่างโดดเด่น ทำไป 7 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 30 นัดรวมทุกรายการ และช่วยให้ แรนส์ จบอันดับ 3 ของตาราง และคว้าสิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จ
ลีดส์ ยูไนเต็ด
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2020 ราฟินญ่า ได้ย้ายไปร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยสัญญา 4 ปี โดยมีค่าตัวราว 17 ล้านปอนด์ เขาได้ประเดิมสนามเกมแรก ในวันที่ 19 ตุลาคม ในฐานะตัวสำรอง ในเกมที่ ลีดส์ แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-0 และได้ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรก ในเกมที่ ลีดส์ รับมือ อาร์เซน่อล เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน
หลังจากนั้นอีกราว 1 สัปดาห์ ราฟินญ่า ก็ทำประตูแรกของเขากับ ลีดส์ ได้ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ในเกมที่ ลีดส์ บุกไปเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 1-0 ซึ่งประตูชัยในครั้งนั้นยังเป็นการคว้าชัยชนะครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกของ ลีดส์ ที่สนามกูดิสัน พาร์ค และเป็นชัยชนะในลีกครั้งแรกที่บ้านของ เอฟเวอร์ตัน นับตั้งแต่ปี 1990 อีกด้วย โดยเขาจบฤดูกาลแรกด้วยการทำไป 8 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 38 นัดในทุกรายการ
ในฤดูกาลต่อมา ราฟินญ่า เล่นได้โดดเด่นมากกว่าเดิม แม้ ลีดส์ จะต้องหนีตกชั้น และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 17 รอดพ้นจากการตกไปเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ แบบหวุดหวิด แต่ ราฟินญ่า จบฤดูกาลในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของสโมสร ด้วยผลงาน 11 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ จาก 36 เกมในทุกรายการ
อีกก้าวของชีวิตที่บาร์เซโลน่า
ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2022 ราฟินญ่า ตกลงย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์รวมโบนัส เขาประเดิมสนามนัดแรกกับ บาร์เซโลน่า ในวันที่ 13 สิงหาคม ในเกมที่เสมอกับ ราโย บาเยกาโน่ 0-0 และทำประตูแรกได้ในวันที่ 3 กันยายน ในเกมที่ชนะ เซบีย่า 3-0
ราฟินญ่า ถูกดึงตัวมาเพื่อเป็นตัวแทนของ อุสมาน เดมเบเล่ แต่ทั้งคู่ก็ต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริง โดย ชาบี เอร์นานเดซ กุนซือของทีมในเวลานั้นต้องการเก็บทั้งสองคนไว้เพื่อสร้างการแข่งขันกันเอง และในระหว่างฤดูกาล เดมเบเล่ ก็กลับมาทำผลงานได้ดี ทำให้โอกาสของ ราฟินญ่า ในตำแหน่งปีกขวาที่เขาถนัดนั้นลดลงไป
ในวันที่ 16 มกราคม 2023 บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ ซูเปร์โกปา เด เอสปันญา หลังจากเอาชนะคู่แข่งอย่าง เรอัล มาดริด 3-1 ใน ซึ่งนับเป็นแชมป์แรกของเขากับสโมสร ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ราฟินญ่า ทำหนึ่งประตูและหนึ่งแอสซิสต์ในเกมที่เสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ในศึกยูโรปา ลีก แต่บาร์เซโลนาก็ต้องตกรอบไปในที่สุด หลังจากนั้น เดมเบเล่ มีอาการบาดเจ็บ ทำให้ ราฟินญ่า ได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้น แต่เขาก็ยังทำผลงานได้ไม่สม่ำเสมอ แต่สุดท้ายแล้ว บาร์เซโลน่า ก็คว้าแชมป์ ลา ลีกา ในฤดูกาล 2022-23 มาครองได้ในท้ายที่สุด
ฤดูกาล 2023-24 ช่วงเวลาที่ยากลำบากและรองแชมป์ ลา ลีกา
หลังจากพลาดการลงเล่นบางส่วนในช่วงต้นฤดูกาล ราฟินญ่า ต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงของแฟนบอลและผู้บริหารสโมสร แม้จะได้รับกำลังใจจาก ชาบี เอร์นานเดซ ที่เป็นกุนซือ แต่ในที่สุดเขาก็เสียตำแหน่งตัวจริงให้กับดาวรุ่งอย่าง ลามีน ยามาล ที่ทำประตูได้ในช่วงที่เขาไม่อยู่ และในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลนั้น เขายิงได้เพียง 3 ประตู
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังโดยรวม เนื่องจาก บาร์เซโลน่า ไม่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์อะไรเลย แต่ ราฟินญ่า ก็มีบทบาทสำคัญใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยมีส่วนร่วมกับ 2 ประตูในเกมที่ชนะนาโปลี 3-1 ในวันที่ 12 มีนาคม 2024 และในวันที่ 10 เมษายน เขาก็ทำ 2 ประตูใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรก ในเกมที่บุกไปชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง 3-2 และได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ แต่ในเกมนัดสองที่ คัมป์ นู บาร์เซโลน่า เป็นฝ่ายแพ้ไป 4-1 ทำให้ต้องตกรอบไป และหยุดเส้นทาง แชมเปี้ยนส์ ลีก ไว้แค่รอบก่อนรองชนะเลิศเท่านั้น
2024–25 ฤดูกาลแห่งการแจ้งเกิดและการทำประตูที่น่าทึ่ง
แม้จะทำผลงานได้ 10 ประตูและ 11 แอสซิสต์ใน 37 นัดเมื่อฤดูกาลก่อน แต่สถานะของ ราฟินญ่า ในสโมสรก็ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ชาบี เอร์นาเดซ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งกุนซือ เขาเคยได้รับข้อเสนอถึง 90 ล้านยูโรจากสโมสร อัล-ฮิลาล ในซาอุดิอาระเบีย และ เดโก้ ผู้อำนวยการกีฬาของบาร์เซโลนา ก็เคยบอกให้ตัวแทนของเขาให้หาสโมสรใหม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ฮันซี่ ฟลิค ที่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ได้ตัดสินใจเก็บเขาไว้ และแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในกัปตันทีมประจำฤดูกาลนี้
ฟลิค ได้ใช้แท็คติกที่แตกต่างจากโค้ชคนก่อน โดยให้ ราฟินญ่า เล่นในตำแหน่งที่เน้นไปที่พื้นที่ตรงกลางมากขึ้น ซึ่งทำให้ฟอร์มของเขาดีขึ้นอย่างน่าทึ่ง ในวันที่ 31 สิงหาคม 2024 เขาทำแฮตทริกแรกให้กับ บาร์เซโลน่า ในเกม ลา ลีกา ที่ถล่ม เรอัล บายาโดลิด 7-0 และในวันที่ 23 ตุลาคม เขาก็ทำแฮตทริกใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเกมที่ชนะ บาเยิร์น มิวนิค 4-1 จากนั้นในวันที่ 26 ตุลาคม เขาก็ทำประตูแรกในเกม เอล กลาซิโก้ และทำแอสซิสต์ในชัยชนะเหนือ เรอัล มาดริด 4-0 ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
ในวันที่ 12 มกราคม 2025 ราฟินญ่า ทำ 2 ประตูและ 1 แอสซิสต์ ในนัดชิงชนะเลิศ ซูเปร์โกปา เด เอสปันญา ที่ชนะ เรอัล มาดริด 5-2 และในวันที่ 9 เมษายน เขาทาบสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีกของ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ 19 ครั้ง และในรอบรองชนะเลิศ เขาก็ทำลายสถิติดังกล่าวด้วยการมีส่วนร่วมกับประตูรวม 20 ครั้ง เขาจบการแข่งขันใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการเป็น ดาวซัลโวร่วมที่ 13 ประตู และเป็นผู้ทำแอสซิสต์สูงสุด ที่ 9 ครั้งด้วยกัน
ในฤดูกาลนี้สามารถพูดได้ว่า ราฟินญ่า กลายเป็นแข้งซูเปอร์สตาร์ของทีมอย่างเต็มตัว และเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดในอาชีพการค้าแข้ง หลังทำไปทั้งสิ้น 34 ประตูกับ 25 แอสซิสต์ พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา และ โกปา เดล เรย์ มาครองอย่างยิ่งใหญ่ และจากผลงานดังกล่าว ทำให้เขาได้ขยายสัญญากับ บาร์เซโลน่า ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2028
เส้นทางในทีมชาติ
ก่อนการแข่งขัน ยูโร 2020 สมาคมฟุตบอลอิตาลีเคยพยายามเรียกตัว ราฟินญ่า ติดทีมชาติ เนื่องจากเขามีสิทธิ์เล่นให้กับอิตาลีได้จากเชื้อสายทางฝั่งพ่อของเขา ราฟินญ่า เคยกล่าวว่าเขาเกือบจะได้เป็นนักเตะทีมชาติอิตาลีแล้ว แต่เขาได้รับหนังสือเดินทางอิตาลีไม่ทันเวลา ทำให้เขาไม่ได้เข้าร่วมในทัวร์นาเมนต์นั้น
ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2021 ราฟินญ่า ได้รับเลือกให้ติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และในวันที่ 7 ตุลาคม เขาก็ได้ประเดิมสนามให้กับทีมชาติ โดยลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังในเกมที่ บราซิล พลิกกลับมาชนะ เวเนซูเอล่า 3-1 ในช่วงเวลา 45 นาทีที่อยู่ในสนาม เขาทำได้ 2 แอสซิสต์และเรียกจุดโทษได้อีกหนึ่งลูก ซึ่งทำให้เขาได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากนักวิจารณ์และแฟนบอล และในวันที่ 15 ตุลาคม เขาก็ทำประตูแรกและประตูที่สองในนามทีมชาติได้ในเกมกับ อุรุกวัย
ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2022 ราฟินญ่า มีชื่อติดทีมชาติชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาตาร์ แต่บราซิลก็ต้องยุติเส้นทางในรอบก่อนรองชนะเลิศหลังจากแพ้โครเอเชียในการดวลจุดโทษ
ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2024 ราฟินญ่า ถูกเรียกตัวเข้าร่วมทีมชาติบราซิลในรายการ โกปา อเมริกา เขาทำประตูเดียวของตัวเองในทัวร์นาเมนต์นี้ในเกมกับ โคลอมเบีย ที่เสมอ 1-1 ก่อนที่บราซิลจะตกรอบในรอบก่อนรองชนะเลิศจากการแพ้จุดโทษให้กับอุรุกวัย รวมแล้ว ราฟินญ่า ลงเล่นให้ทีมชาติบราซิลไปแล้ว 36 นัด ทำไป 11 ประตูด้วยกัน
ทั้งหมดนี้คือเส้นทางอาชีพของ ราฟินญ่า ที่ต้องบอกว่ามีทั้งขึ้นและลง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เขาได้กลายเป็นสุดยอดนักเตะในวงการคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย จากผลงานที่โดดเด่นระดับนั้น แต่กระนั้น ราฟินญ่า ก็ยังถูกมองว่าเป็นรอง ลามีน ยามาล ดาวรุ่งพุ่งแรงของบาร์ซ่ามากกว่า ซึ่งดูได้จากการโหวตรางวัลบัลลงดอร์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
ในฤดูกาล 2025-26 ที่กำลังแข่งขันกันอยู่ในเวลานี้นั้น ต้องมารอดูกันว่า ราฟินญ่า จะยังรักษาผลงานที่เคยทำไว้เหมือนฤดูกาลที่แล้วได้หรือไม่ ซึ่งเขาเริ่มต้นซีซั่นได้ไม่เลวเลย หลังทำไปแล้ว 3 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 6 เกมรวมทุกรายการ
ถ้าหากว่าเขายังรักษามาตรฐานแบบนี้เอาไว้ได้ และพา บาร์เซโลน่า ไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า บัลลงดอร์ ในปีหน้าอาจจะตกเป็นของเขาก็เป็นได้ แม้ว่าจะมี ลามีน ยามาล เพื่อนรุ่นน้องใน บาร์เซโลน่า เป็นกระดูกชิ้นโตที่ขวางคออยู่ก็ตาม...
⚽คอฟุตบอลไม่ควรพลาด! แพ็กเกจ NOW FOOTBALL ดูบอลครบทั้งลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ อาทิ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก / ยูฟ่า ยูโรปา ลีก / ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก / ลาลีกา / บุนเดสลีกา / เซเรีย อา และอีกมากมายกว่า 2,000 แมตช์ ตลอดฤดูกาล 2025/26
📲สมัครและดูได้แล้ววันนี้ รายเดือน และ รายฤดูกาล
📌Now Football 199 บาท/เดือน (1 จอ ดูได้ทุกอุปกรณ์) สมัครเลยคลิก : https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/apphyrcr
📌Now Football Season Pass 1,789 บาท/ฤดูกาล (1 จอ ดูได้ทุกอุปกรณ์) ถึง 30 กันยายน 68 เท่านั้น สมัครเลยคลิก : https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/p7b2l465
