ส่องประวัติ อองตวน กรีซมันน์ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งทีมตราหมี

ส่องประวัติ อองตวน กรีซมันน์ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งทีมตราหมี

หากจะพูดถึงกองหน้าสักรายที่มีประวัติการลงเล่นใน ลา ลีกา สเปน มาอย่างยาวนาน และมีผลงานสุดยอดเป็นที่ประจักษ์ ย่อมต้องมีชื่อของ อองตวน กรีซมันน์ ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ล่าสุด กรีซมันน์ เพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์อีกหนึ่งหน้า หลังทำประตูได้ในเกมที่ แอตเลติโก มาดริด เอาชนะ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 5-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ ลีก เฟส นัดที่สอง เมื่อคืนวันอังคารที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้หัวหอกวัย 34 ปี กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ของทีมตราหมี ที่ทำประตูให้สโมสรถึงหลัก 200 ประตู โดยมาจากการลงสนามทั้งหมด 454 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งมาจากการที่เขาค้าแข้งกับ แอต. มาดริด 2 ช่วงเวลาด้วยกัน

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส ผู้เคยครองตำแหน่งแชมป์โลกมาแล้วกันหน่อยว่ามีเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และทำไมเขาถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งของวงการ... 

ชีวิตในวัยเด็กและการถูกปฏิเสธ

อองตวน กรีซมันน์ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี 1991 ที่เมืองมาคง ประเทศฝรั่งเศส โดยมีคุณพ่อเป็นคนฝรั่งเศส ที่มีเชื้อสายเยอรมันอยู่ห่างๆ โดยบรรพบุรุษชาวเยอรมันของ กรีซมันน์ นั้นได้อพยพมายังฝรั่งเศสในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ขณะที่คุณแม่มีเชื้อสายโปรตุเกสจากฝั่งคุณตาที่อพยพมาทำงานก่อสร้างในฝรั่งเศสในปี 1957 นั่นทำให้ในวัยเด็ก กรีซมันน์ และครอบครัวมักจะไปเที่ยวพักผ่อนที่ ปาซูส เด เฟร์เรยร่า ประเทศโปรตุเกสอยู่เสมอ

กรีซมันน์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง อูแอฟ มาคอนเนส์ และได้ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรอาชีพหลายแห่งเพื่อเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชน ซึ่งรวมถึงสโมสรที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กอย่าง โอลิมปิก ลียง แต่กลับถูกสโมสรเหล่านั้นปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเหตุผลหลักคือรูปร่างที่เล็กเกินไป ทำให้หลายสโมสรตั้งคำถามถึงศักยภาพในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขา

โอกาสพลิกผันสู่สเปน

ในปี 2005 ขณะที่ กรีซมันน์ ไปทดสอบฝีเท้ากับ มงต์เปลลิเย่ร์ เขาได้ลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องกับทีมเยาวชนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และฟอร์มการเล่นของเขาก็ไปเข้าตาแมวมองของสโมสรจากสเปนอย่าง เรอัล โซเซียดาด ที่มาร่วมชมการแข่งขันในครั้งนั้นเข้าอย่างจัง

หลังจบเกม เจ้าหน้าที่ของสโมสร เรอัล โซเซียดาด ได้เสนอโอกาสให้ กรีซมันน์ ไปทดสอบฝีเท้าที่เมือง ซาน เซบาสเตียน เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเขาตอบรับทันที และภายหลังก็ได้อยู่ต่อเป็นสัปดาห์ที่สอง ก่อนที่สโมสรจะติดต่อครอบครัวและเสนอสัญญานักเตะเยาวชนให้อย่างเป็นทางการ แม้ว่าในตอนแรกพ่อแม่ของเขาจะไม่เต็มใจที่จะให้ลูกชายย้ายไปอยู่ที่สเปน แต่ก็อนุญาตให้เขาไปสานฝันได้ในที่สุด

เริ่มต้นเส้นทางกับ เรอัล โซเซียดาด

เมื่อแรกมาถึง เรอัล โซเซียดาด กรีซมันน์ ต้องพักอาศัยอยู่กับแมวมองชาวฝรั่งเศสของสโมสร โดยต้องเดินทางข้ามพรมแดนไปโรงเรียนที่เมืองบายอนน์ ในฝรั่งเศส และกลับมาฝึกซ้อมในช่วงเย็นที่ศูนย์ฝึกของสโมสรที่เมือง ซาน เซบาสเตียน ประเทศสเปน

เขาใช้เวลาสี่ปีในระบบเยาวชนเพื่อพัฒนาตัวเอง ก่อนที่จะถูก มาร์ติน ลาซาร์เต้ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเรียกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เพื่อลงเล่นในช่วงปรีซีซั่น ฤดูกาล 2009–10 ซึ่งเขายิงได้ถึง 5 ประตูจาก 4 นัด และเนื่องจากปีกซ้ายตัวหลักของทีมได้รับบาดเจ็บ ทำให้ ลาซาร์เต้ ตัดสินใจให้โอกาส กรีซมันน์ ลงเล่นในนัดเปิดฤดูกาลเลยทันที ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติสำหรับนักเตะเยาวชนที่ได้รับโอกาสโดยไม่ต้องผ่านทีมสำรองเลย

การพัฒนาและการแจ้งเกิด (2009–2011)

ในวันที่ 2 กันยายน 2009 กรีซมันน์ ในวัย 18 ปี ลงประเดิมสนามนัดแรกอย่างเป็นทางการให้กับ เรอัล โซเซียดาด ในรายการ โกปา เดล เรย์ โดยลงเป็นตัวสำรองในเกมที่แพ้ ราโย บาเยกาโน่ 2-0 หลังจากนั้นอีก 4 วันต่อมา เขาก็ประเดิมสนามในเกมระดับ เซกุนด้า ดิบิซิออน เป็นครั้งแรก ในเกมที่พบกับ เรอัล มูร์เซีย โดยถูกส่งลงไปเป็นตัวสำรอง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 กันยายน กรีซมันน์ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในอาชีพและทำประตูแรกได้ในทันที ในเกมที่ชนะ อวยส์ก้า 2-0 หลังจากนั้นเขาก็ทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล โดยเจ้าตัวได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 40 นัด ทำไป 6 ประตู และมีส่วนช่วยให้ เรอัล โซเซียดาด คว้าแชมป์ เซกุนด้า ดิบิซิออน และเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ลา ลีกา สเปน ได้สำเร็จในฤดูกาล 2010–11 นั่นทำให้ในเดือนเมษายน 2010 เขาได้เซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับสโมสรเป็นเวลา 5 ปี พร้อมกับค่าฉีกสัญญา 30 ล้านยูโร

ในวันที่ 29 สิงหาคม 2010 กรีซมันน์ลงประเดิมสนามในเกม ลา ลีกา เป็นครั้งแรก และทำประตูแรกในลีกได้ในวันที่ 25 ตุลาคม ในเกมที่เอาชนะ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า 3-0 โดยเขาได้ทำท่าฉลองการทำประตูด้วยการแกล้งทำท่าขับรถบรรทุกที่จอดอยู่ใกล้กับสนาม ซึ่งแสดงถึงบุคลิกที่สนุกสนานของเขา

ตลอดเส้นทางการค้าแข้งกับ เรอัล โซเซียดาด นั้น กรีซมันน์ อาจจะไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์อะไรมาครองได้ แต่เขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากผลงานการลงสนาม โดยตลอด 5 ปีที่เขาเล่นในถิ่น ซาน เซบาสเตียน นั้น เขาทำสถิติยิงไป 52 ประตูกับอีก 18 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 202 เกมในทุกรายการ

ในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับ เรอัล โซเซียดาด นั้น กรีซมันน์ มีส่วนสำคัญกับทีมเป็นอย่างมาก เขาทำไป 20 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการลงเล่น 50 นัดในทุกรายการ และช่วยให้ โซเซียดาด คว้าโควต้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้่งแรกในรอบ 11 ปี หลังครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2003-04

จากผลงานอันยอดเยี่ยมดังกล่าว ทำให้ กรีซมันน์ ได้รับการจับตามองจากทีมยักษ์ใหญ่ ก่อนจะได้ยกระดับการค้าแข้งด้วยการย้ายไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นทีมที่เขาประสบความสำเร็จด้วยสูงสุด

สรุปข่าว

ส่องประวัติ อองตวน กรีซมันน์ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งทีมตราหมีและทีมชาติฝรั่งเศส

หากจะพูดถึงกองหน้าสักรายที่มีประวัติการลงเล่นใน ลา ลีกา สเปน มาอย่างยาวนาน และมีผลงานสุดยอดเป็นที่ประจักษ์ ย่อมต้องมีชื่อของ อองตวน กรีซมันน์ ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ล่าสุด กรีซมันน์ เพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์อีกหนึ่งหน้า หลังทำประตูได้ในเกมที่ แอตเลติโก มาดริด เอาชนะ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 5-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ ลีก เฟส นัดที่สอง เมื่อคืนวันอังคารที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้หัวหอกวัย 34 ปี กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ของทีมตราหมี ที่ทำประตูให้สโมสรถึงหลัก 200 ประตู โดยมาจากการลงสนามทั้งหมด 454 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งมาจากการที่เขาค้าแข้งกับ แอต. มาดริด 2 ช่วงเวลาด้วยกัน

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส ผู้เคยครองตำแหน่งแชมป์โลกมาแล้วกันหน่อยว่ามีเส้นทางอาชีพที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และทำไมเขาถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งของวงการ... 

ชีวิตในวัยเด็กและการถูกปฏิเสธ

อองตวน กรีซมันน์ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี 1991 ที่เมืองมาคง ประเทศฝรั่งเศส โดยมีคุณพ่อเป็นคนฝรั่งเศส ที่มีเชื้อสายเยอรมันอยู่ห่างๆ โดยบรรพบุรุษชาวเยอรมันของ กรีซมันน์ นั้นได้อพยพมายังฝรั่งเศสในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ขณะที่คุณแม่มีเชื้อสายโปรตุเกสจากฝั่งคุณตาที่อพยพมาทำงานก่อสร้างในฝรั่งเศสในปี 1957 นั่นทำให้ในวัยเด็ก กรีซมันน์ และครอบครัวมักจะไปเที่ยวพักผ่อนที่ ปาซูส เด เฟร์เรยร่า ประเทศโปรตุเกสอยู่เสมอ

กรีซมันน์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง อูแอฟ มาคอนเนส์ และได้ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรอาชีพหลายแห่งเพื่อเข้าสู่ศูนย์ฝึกเยาวชน ซึ่งรวมถึงสโมสรที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กอย่าง โอลิมปิก ลียง แต่กลับถูกสโมสรเหล่านั้นปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเหตุผลหลักคือรูปร่างที่เล็กเกินไป ทำให้หลายสโมสรตั้งคำถามถึงศักยภาพในการเล่นฟุตบอลอาชีพของเขา

โอกาสพลิกผันสู่สเปน

ในปี 2005 ขณะที่ กรีซมันน์ ไปทดสอบฝีเท้ากับ มงต์เปลลิเย่ร์ เขาได้ลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องกับทีมเยาวชนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และฟอร์มการเล่นของเขาก็ไปเข้าตาแมวมองของสโมสรจากสเปนอย่าง เรอัล โซเซียดาด ที่มาร่วมชมการแข่งขันในครั้งนั้นเข้าอย่างจัง

หลังจบเกม เจ้าหน้าที่ของสโมสร เรอัล โซเซียดาด ได้เสนอโอกาสให้ กรีซมันน์ ไปทดสอบฝีเท้าที่เมือง ซาน เซบาสเตียน เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเขาตอบรับทันที และภายหลังก็ได้อยู่ต่อเป็นสัปดาห์ที่สอง ก่อนที่สโมสรจะติดต่อครอบครัวและเสนอสัญญานักเตะเยาวชนให้อย่างเป็นทางการ แม้ว่าในตอนแรกพ่อแม่ของเขาจะไม่เต็มใจที่จะให้ลูกชายย้ายไปอยู่ที่สเปน แต่ก็อนุญาตให้เขาไปสานฝันได้ในที่สุด

เริ่มต้นเส้นทางกับ เรอัล โซเซียดาด

เมื่อแรกมาถึง เรอัล โซเซียดาด กรีซมันน์ ต้องพักอาศัยอยู่กับแมวมองชาวฝรั่งเศสของสโมสร โดยต้องเดินทางข้ามพรมแดนไปโรงเรียนที่เมืองบายอนน์ ในฝรั่งเศส และกลับมาฝึกซ้อมในช่วงเย็นที่ศูนย์ฝึกของสโมสรที่เมือง ซาน เซบาสเตียน ประเทศสเปน

เขาใช้เวลาสี่ปีในระบบเยาวชนเพื่อพัฒนาตัวเอง ก่อนที่จะถูก มาร์ติน ลาซาร์เต้ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเรียกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เพื่อลงเล่นในช่วงปรีซีซั่น ฤดูกาล 2009–10 ซึ่งเขายิงได้ถึง 5 ประตูจาก 4 นัด และเนื่องจากปีกซ้ายตัวหลักของทีมได้รับบาดเจ็บ ทำให้ ลาซาร์เต้ ตัดสินใจให้โอกาส กรีซมันน์ ลงเล่นในนัดเปิดฤดูกาลเลยทันที ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติสำหรับนักเตะเยาวชนที่ได้รับโอกาสโดยไม่ต้องผ่านทีมสำรองเลย

การพัฒนาและการแจ้งเกิด (2009–2011)

ในวันที่ 2 กันยายน 2009 กรีซมันน์ ในวัย 18 ปี ลงประเดิมสนามนัดแรกอย่างเป็นทางการให้กับ เรอัล โซเซียดาด ในรายการ โกปา เดล เรย์ โดยลงเป็นตัวสำรองในเกมที่แพ้ ราโย บาเยกาโน่ 2-0 หลังจากนั้นอีก 4 วันต่อมา เขาก็ประเดิมสนามในเกมระดับ เซกุนด้า ดิบิซิออน เป็นครั้งแรก ในเกมที่พบกับ เรอัล มูร์เซีย โดยถูกส่งลงไปเป็นตัวสำรอง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 กันยายน กรีซมันน์ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในอาชีพและทำประตูแรกได้ในทันที ในเกมที่ชนะ อวยส์ก้า 2-0 หลังจากนั้นเขาก็ทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาล โดยเจ้าตัวได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 40 นัด ทำไป 6 ประตู และมีส่วนช่วยให้ เรอัล โซเซียดาด คว้าแชมป์ เซกุนด้า ดิบิซิออน และเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ลา ลีกา สเปน ได้สำเร็จในฤดูกาล 2010–11 นั่นทำให้ในเดือนเมษายน 2010 เขาได้เซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับสโมสรเป็นเวลา 5 ปี พร้อมกับค่าฉีกสัญญา 30 ล้านยูโร

ในวันที่ 29 สิงหาคม 2010 กรีซมันน์ลงประเดิมสนามในเกม ลา ลีกา เป็นครั้งแรก และทำประตูแรกในลีกได้ในวันที่ 25 ตุลาคม ในเกมที่เอาชนะ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า 3-0 โดยเขาได้ทำท่าฉลองการทำประตูด้วยการแกล้งทำท่าขับรถบรรทุกที่จอดอยู่ใกล้กับสนาม ซึ่งแสดงถึงบุคลิกที่สนุกสนานของเขา

ตลอดเส้นทางการค้าแข้งกับ เรอัล โซเซียดาด นั้น กรีซมันน์ อาจจะไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์อะไรมาครองได้ แต่เขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากผลงานการลงสนาม โดยตลอด 5 ปีที่เขาเล่นในถิ่น ซาน เซบาสเตียน นั้น เขาทำสถิติยิงไป 52 ประตูกับอีก 18 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 202 เกมในทุกรายการ

ในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับ เรอัล โซเซียดาด นั้น กรีซมันน์ มีส่วนสำคัญกับทีมเป็นอย่างมาก เขาทำไป 20 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการลงเล่น 50 นัดในทุกรายการ และช่วยให้ โซเซียดาด คว้าโควต้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้่งแรกในรอบ 11 ปี หลังครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2003-04

จากผลงานอันยอดเยี่ยมดังกล่าว ทำให้ กรีซมันน์ ได้รับการจับตามองจากทีมยักษ์ใหญ่ ก่อนจะได้ยกระดับการค้าแข้งด้วยการย้ายไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นทีมที่เขาประสบความสำเร็จด้วยสูงสุด

แอตเลติโก มาดริด ช่วงแรก (2014-2019)

ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2014 แอตเลติโก มาดริด บรรลุข้อตกลงในการคว้าตัว อองตวน กรีซมันน์ จาก เรอัล โซเซียดาด ด้วยค่าตัวที่เชื่อกันว่าใกล้เคียงกับค่าฉีกสัญญาที่ 30 ล้านยูโร เขาผ่านการตรวจร่างกายและเซ็นสัญญากับสโมสรเป็นเวลา 6 ปี

วันที่ 19 สิงหาคม เขาลงประเดิมสนามในศึก ซูเปร์โกปา เด เอสปันญา โดยลงเป็นตัวสำรองในเกมที่เสมอกับเรอัล มาดริด 1-1 จากนั้นในวันที่ 17 กันยายน เขาทำประตูแรกให้กับ แอต. มาดริด ได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แม้ว่าในเกมดังกล่าวทีมตราหมีจะเป็นฝ่ายพ่าย โอลิมเปียกอส ไป 3-2 ก็ตาม

ในวันที่ 21 ธันวาคม กรีซมันน์ ทำแฮตทริกแรกใน ลา ลีกา ได้สำเร็จ ในเกมที่ แอตเลติโก มาดริด พลิกกลับมาชนะ แอธเลติก บิลเบา 4-1 ก่อนที่จะยิงไปทั้งสิ้น 22 ประตูใน ลา ลีกา ฤดูกาล 2014-15 ทำลายสถิติผู้เล่นชาวฝรั่งเศสที่ทำประตูได้มากที่สุดใน ลา ลีกา ต่อหนึ่งฤดูกาลของ คาริม เบนเซม่า พร้อมกับได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าของทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ ลา ลีกา ร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่

กรีซมันน์ ยังคงโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงอย่างต่อเนื่องในฤดูกาล 2015–16 โดยเขาพา แอต. มาดริด ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์มาครองได้ หลังพ่ายในการดวลจุดโทษต่อ เรอัล มาดริด ไป 5-3 หลังเสมอกันใน 90 นาทีและช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 โดยในซีซั่นนี้ กรีซมันน์ ระเบิดฟอร์มทำไปถึง 32 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 54 เกมรวมทุกรายการ ซึ่งถือเป็นซีซั่นที่ กรีซมันน์ มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในการค้าแข้งกับ แอต. มาดริด รอบแรก ในระหว่างปี 2014-2019

แชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (2017–18)

กรีซมันน์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพา แอต. มาดริด  คว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก โดยเขาทำประตูในเกมรอบรองชนะเลิศกับอาร์เซน่อล และยิง 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศที่พบกับ โอลิมปิก มาร์กเซย ทำให้ทีมตราหมีคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองได้เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร

จากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมทำให้ กรีซมันน์ ตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ บาร์เซโลน่า อย่างหนัก แต่สุดท้ายแล้ว กรีซมันน์ ได้ตัดสินใจ ปฏิเสธการย้ายทีม และต่อสัญญากับ แอตเลติโก มาดริด ออกไปจนถึงปี 2023 พร้อมกับเผยแพร่ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียว่า "แฟนๆ ของฉัน, ทีมของฉัน, บ้านของฉัน!!!" ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าแฟนๆ ของ บาร์เซโลน่า มากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม แม้จะต่อสัญญาออกไปถึงปี 2023 แต่ กรีซมันน์ ก็อยู่กับ แอต. มาดริด อีกเพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น โดยในซีซั่นสุดท้ายกับทีมตราหมี (ช่วงแรก) กรีซมันน์ ทำไป 21 ประตูกับ 10 แอสซิสต์ และมีส่วนในการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ มาครองได้อีกหนึ่งรายการ หลังเอาชนะ เรอัล มาดริด 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ

แม้จะเคยปฏิเสธการย้ายไป บาร์เซโลน่า มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข่าวการเชื่อมโยงกับทีมอาซูลกราน่าก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นในวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 2019 กรีซมันน์ ได้ประกาศว่าจะขออำลา แอตเลติโก มาดริด หลังอยู่กับสโมสรมา 5 ฤดูกาล ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า บาร์เซโลน่า พร้อมจะจ่ายค่าฉีกสัญญา 120 ล้านยูโร ตามที่สัญญาระบุไว้

ชีวิตที่ไม่ราบรื่นที่บาร์เซโลน่า (2019-2022)

ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2019 บาร์เซโลน่า ได้ประกาศเซ็นสัญญากับ กรีซมันน์ เป็นเวลา 5 ปี หลังจากที่ใช้เงิน 120 ล้านยูโร จ่ายเป็นค่าฉีกสัญญาของเขา อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้น แอตเลติโก มาดริด ก็ได้ออกมาโต้แย้งข้อตกลงดังกล่าว โดยอ้างว่าค่าธรรมเนียมที่ บาร์เซโลน่า จ่ายมานั้น น้อยกว่าค่าฉีกสัญญาที่แท้จริงอยู่ถึง 80 ล้านยูโร เนื่องจาก กรีซมันน์ ได้ตกลงย้ายไปยังถิ่น คัมป์ นู ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2019 ซึ่งเป็นวันที่ค่าฉีกสัญญาของเขาถูกปรับลดจาก 200 ล้านยูโรลงมาเหลือ 120 ล้านยูโร

ด้วยเหตุนี้ทีมตราหมีจึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง ลา ลีกา และ ฟีฟ่า เพื่อปกป้องสิทธิ์ของสโมสร อย่างไรก็ดี แม้จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วการย้ายทีมก็ได้รับการอนุมัติ และ กรีซมันน์ ถูกเปิดตัวที่ คัมป์ นู พร้อมกับได้รับเสื้อหมายเลข 17

อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่บาร์เซโลน่าของ กรีซมันน์ นั้น ไม่ได้สวยหรูเหมือนสมัยที่เขาเล่นให้ แอต. มาดริด ในฤดูกาลแรก (2019-20) เขายิงได้แค่ 9 ประตูเท่านั้นในการลงเล่น 35 นัดใน ลา ลีกา และทำไป 15 ประตูจากการลงสนาม 48 เกมในทุกรายการ ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปเมื่อดูจากค่าตัวระดับ 120 ล้านยูโร

แม้ว่าในฤดูกาลถัดมา ผลงานของ กรีซมันน์ จะดีขึ้น เมื่อทำไป 20 ประตูกับ 13 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 51 เกมในทุกรายการ พร้อมกับช่วยให้ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ มาครองได้ ซึ่งเป็นความสำเร็จเดียวที่เขาทำได้กับทีมเจ้าบุญทุ่ม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ นั่นทำให้ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 กรีซมันน์ ตัดสินใจย้ายกลับไปที่ แอตเลติโก มาดริด อีกครั้ง ในสัญญาแบบยืมตัว 1 ฤดูกาล พร้อมกับมีเงื่อนไขยืมเพิ่มได้อีก 1 ปี และทีมตราหมีสามารถซื้อขาดที่ราคา 40 ล้านยูโร ภายในปี 2023

การกลับสู่ แอตเลติโก มาดริด

การกลับมายังถิ่น เมโตรโปลิตาโน่ อีกครั้งของ กรีซมันน์ เหมือนเขาได้กลับมายังบ้านของเขาอีกครั้ง เขาทำประตูแรกในการกลับมาสวมเสื้อทีมตราหมีเป็นครั้งที่สอง ในวันที่ 28 กันยายน 2021 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทีมพลิกกลับมาชนะเอซี มิลาน 2-1 โดยในซีซั่นนี้ เขาลงเล่นไป 36 นัดรวมทุกรายการ ทำไป 8 ประตูกับ 7 แอสซิสต์

ในช่วงต้นฤดูกาล 2022–23 แอตเลติโก มาดริด ตัดสินใจขยายสัญญายืมตัวเพิ่มออกไปอีก 1 ปี แต่เนื่องจากสโมสรไม่อยากให้เงื่อนไขการซื้อขาด 40 ล้านยูโรถูกเปิดใช้งานตามจำนวนนัดที่ลงเล่น ทำให้ กรีซมันน์ ถูกจำกัดเวลาลงสนามไว้เพียงไม่เกิน 30 นาทีต่อเกมเท่านั้น นั่นทำให้ในวันที่ 10 ตุลาคม 2022 หลังจากที่มีการเจรจากันมายาวนาน ทีมตราหมีก็บรรลุข้อตกลงในการซื้อตัว กรีซมันน์ จาก บาร์เซโลน่า เพียง 20 ล้านยูโรเท่านั้น ก่อนจะเซ็นสัญญากันจนถึงปี 2026 ถือเป็นการย้ายกลับมายัง แอต. มาดริด อย่างสมบูรณ์

นั่นทำให้ฤดูกาล 2022–23 กรีซมันน์ กลับมาท็อปฟอร์มอย่างแท้จริง หลังทำไป 16 ประตู และ 18 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 48 เกมรวมทุกรายการ 

ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของ แอตเลติโก มาดริด (2023–ปัจจุบัน)

ในวันที่ 19 ธันวาคม 2023 กรีซมันน์ ทำ 2 ประตูในเกมที่เสมอกับ เคตาเฟ่ 3-3 ซึ่งทำให้เขายิงรวม 173 ประตูให้กับ แอตเลติโก มาดริด ทาบสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรที่ หลุยส์ อาราโกเนส เคยทำไว้ จากนั้นในวันที่ 10 มกราคม 2024 เขาทำประตูใส่ เรอัล มาดริด ในศึกซูเปร์โกปา เด เอสปันญา และก้าวขึ้นเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมตราหมีอย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ กรีซมันน์ ยังสร้างอีกหนึ่งสถิติที่สำคัญในวันที่ 29 มีนาคม 2025 เมื่อลงเล่นใน ลา ลีกา เป็นนัดที่ 521 แซงหน้า ลิโอเนล เมสซี่ ตำนานของ บาร์เซโลน่า และกลายเป็นผู้เล่นต่างชาติที่ลงสนามใน ลา ลีกา มากที่สุดในประวัติศาสตร์

ในวันที่ 30 กันยายน 2025 กรีซมันน์ ได้สร้างสถิติที่ต้องจดจำอีกครั้ง เมื่อทำได้ 1 ประตูในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ ลีก เฟส นัดที่สอง ที่เอาชนะ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ขาดลอย 5-1 ซึ่งนั่นเป็นประตูที่ 200 ของเขากับ แอต. มาดริด จากการลงสนามทั้งสิ้น 454 เกมในทุกรายการ ตลอดสองช่วงเวลาที่ค้าแข้งกับทีมตราหมี ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ให้สัมภาษณ์ด้วยความยินดีว่า "ผมภูมิใจมากที่สามารถทำได้ถึง 200 ประตู มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันต้องแลกมาด้วยความพยายาม แต่ท้ายที่สุดเราก็ทำได้ร่วมกัน"

เส้นทางในทีมชาติฝรั่งเศส

กรีซมันน์ เล่นให้ทีมชาติฝรั่งเศสมาตั้งแต่ระดับชุดเยาวชน โดยในช่วงแรกที่ กรีซมันน์ ไปเล่นฟุตบอลในสเปน เขาไม่เป็นที่สนใจของโค้ชทีมชาติฝรั่งเศสในชุดเยาวชนเลย จนกระทั่งเขาประสบความสำเร็จกับ เรอัล โซเซียดาด ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2010 เขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติฝรั่งเศส รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี

จากนั้นในเดือนมิถุนายน 2010 เขามีชื่อติดทีมชุดลุยศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ซึ่งฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ในทัวร์นาเมนต์นี้ เขาทำไป 2 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ และช่วยให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จบนแผ่นดินบ้านเกิด

จากนั้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2014 ดีดิเย่ร์ เดช็องส์ ผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศส ได้เรียกตัว กรีซมันน์ ติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และเขาก็ประเดิมสนามในฐานะตัวจริงในเกมที่ ฝรั่งเศส เอาชนะ เนเธอร์แลนด์ 2-0 ก่อนจะมีชื่อติดทีมชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ซึ่ง ฝรั่งเศส ไปได้ถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนจะแพ้ต่อ เยอรมนี ที่ได้แชมป์ในปีนั้นไปในที่สุด

ในศึก ยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ กรีซมันน์ ก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ของทีมอย่างเต็มตัว ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เขาทำ 2 ประตูช่วยให้ทีมพลิกกลับมาชนะ ไอร์แลนด์ 2-1 จากนั้นในรอบรองชนะเลิศ เขายิงอีก 2 ประตูใส่เยอรมนี พาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะแพ้ต่อ โปรตุเกส ไป 1-0 ได้แค่รองแชมป์ แต่ กรีซมันน์ ก็คว้ารางวัลรองเท้าทองคำ ในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์ (6 ประตู 2 แอสซิสต์) และได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย ซึ่งถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดรองจากสถิติ 9 ประตูของ มิเชล พลาตินี่ ที่ทำไว้ในยูโร 1984

แชมป์ฟุตบอลโลก 2018

กรีซมันน์ ถูกเรียกติดทีมชาติชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของทีม เขาทำไปทั้งสิ้น 4 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ ช่วยให้ ฝรั่งเศส เอาชนะ โครเอเชีย 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ เวิลด์ คัพ มาครองได้ในที่สุด ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในอาชีพของเขา จากผลงานอันโดดเด่น เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศ และได้รับรางวัลลูกบอลทองแดง ในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยมอันดับ 3 ของทัวร์นาเมนต์

นอกจากแชมป์ฟุตบอลโลกแล้ว กรีซมันน์ ยังช่วยให้ ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก มาครองได้อีกด้วยในปี 2021 หลังเอาชนะ สเปน ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งหลังจากที่สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ให้กับทีมชาติฝรั่งเศสมาอย่างยาวนาน กรีซมันน์ ก็ได้ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ ในวันที่ 30 กันยายน 2024

ทั้งหมดนี้คือเส้นทางอาชีพอันยาวนานกว่า 16 ปีของ อองตวน กรีซมันน์ และยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ เขากำลังลงเล่นในฤดูกาลที่ 17 ในอาชีพการค้าแข้ง และยังเป็นส่วนสำคัญของ แอตเลติโก มาดริด ในการไล่ล่าแชมป์ทั้ง ลา ลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2024-25 ซึ่งแน่นอนว่าทีมตราหมียังมีลุ้นความสำเร็จอย่างเต็มตัว

จากฟอร์มที่เขาทำได้ในเวลานี้ ไม่แน่เหมือนกันว่า กรีซมันน์ อาจจะช่วย แอต. มาดริด คว้าแชมป์อะไรสักอย่างอีกครั้งก็เป็นได้ในซีซั่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วเขาจะเลิกเล่นฟุตบอลเมื่อไหร่นั้น บนวัย 34 ปีอาจจะยังเร็วเกินไปที่เขาจะแขวนสตั๊ด...

ดูบอลสดครบทั้งลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ อาทิ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก / ยูฟ่า ยูโรปา ลีก / ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก / ลาลีกา / บุนเดสลีกา / เซเรีย อา และอีกมากมายกว่า 2,000 แมตช์ ตลอดฤดูกาล 2025/26

📲สมัครและดูได้แล้ววันนี้ Now Football 199 บาท/เดือน (1 จอ ดูได้ทุกอุปกรณ์) คลิก : https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/1rsb84q1

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : YT : Atlético de Madrid