ประวัติ สารัช อยู่เย็น นักเตะผู้ไม่เคยยอมแพ้ กับการคืนทีมชาติไทย ในรอบ 526 วัน

Share on Line Share on Facebook Share on X
ประวัติ สารัช อยู่เย็น นักเตะผู้ไม่เคยยอมแพ้ กับการคืนทีมชาติไทย ในรอบ 526 วัน

ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการประเดิมคุมทีมชาติไทย อย่างเป็นทางการของ แอนโธนี ฮัดสัน ด้วยผลงานชนะ 2 นัดรวด ในเกมอุ่นเครื่องเชือด สิงคโปร์ 3-2 และบุกไปเอาชนะ ศรีลังกา 4-0 ในศึกเอเชียนคัพ รอบคัดเลือก


แน่นอนว่านอกจากผลการแข่งขันแล้วไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งของบรรดาแข้งซีเนียร์ ทั้ง ธีราทร บุญมาทัน และ สารัช อยู่เย็น ที่ต่างได้ลงสนามครบทั้ง 2 นัด และผลงานภาพรวมก็ถือว่าน่าประทับใจกับการที่ทั้งสองคนต่างยิงประตูได้ด้วยกันทั้งคู่ในเกมอุ่นเครื่อง


ยิ่งไปกว่านั้นการสอดประสานงานร่วมกันในแดนกลางของทั้งสองคนก็ถือว่าทำได้อย่างเนียนตาด้วยประสบการณ์ที่สูงของทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้รูปเกมของเราดูมีความนิ่งมากขึ้น จริงอยู่ที่แม้ว่าจะเป็นเกมที่เจอกับคู่แข่งอันดับต่ำกว่า แต่ก็นับเป็นการกลับมาที่น่าชื่นชม


เราจึงขอใช้โอกาสนี้พาทุกท่านไปย้อนรอยดูประวัติเส้นทางลูกหนังของ สารัช อยู่เย็น 1 ในแข้งซีเนียร์ที่การกลับมาสู่แคมป์ทีมชาติไทยของเขาในครั้งนี้ ต้องรอคอยนานถึง 526 วันกันเลยทีเดียว


ประวัติ สารัช อยู่เย็น


"ตังค์" สารัช อยู่เย็น เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยมีคุณแม่เป็นชาวจังหวัดปัตตานี แต่เจ้าตัวไปเกิดที่โรงพยาบาลสงขลา ก่อนจะมีชีวิตในวัยเด็กที่จังหวัดสมุทรปราการ และจุดเริ่มต้นของการเล่นฟุตบอลก็มาจากคุณพ่อที่ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้และปลูกฝังให้ลูกมีใจรักในฟุตบอลเช่นกัน


เขาเริ่มต้นฝึกฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ช่วง ม.ปลาย ภายหลังเจ้าตัวเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ในช่วงที่วงการฟุตบอลไทยลีกกำลังเป็นกระแสฟีเวอร์สุดขีด


และด้วยความที่ยุคนั้น สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยได้ไปผูกกับ โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี เพื่อผลักดันเด็กๆนักฟุตบอลของโรงเรียนที่ฝีเท้าดูดีมีอนาคตให้ก้าวสู่ระบบฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว หรือเปรียบง่ายๆสถาบันแห่งนี้เป็นเสมือนอคาเดมีของสโมสร


แน่นอนว่าฝีเท้าของ สารัช จัดอยู่ในกลุ่มที่อนาคตไกล ทำให้สโมสรเมืองทองฯ ไม่รอช้าที่จะเซ็นสัญญาอาชีพเข้าสู่ทีมทันที ในปี 2011 พร้อมกับความคาดหวังว่านี่คือเพชรเม็ดงามที่รอวันเจียระไนให้กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมในอนาคต

สรุปข่าว

สารัช อยู่เย็น มิดฟิลด์จอมทุ่มเทของไทย กลับมาติดทีมชาติอีกครั้งหลังรอคอยยาวนาน 526 วัน พร้อมโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในยุค แอนโธนี ฮัดสัน ที่ประเดิมคุมทีมด้วยผลงานชนะ 2 นัดรวดเหนือ สิงคโปร์ และ ศรีลังกา โดยทั้งเขาและ ธีราทร ต่างยิงประตูได้และช่วยให้เกมกลางสนามของไทยนิ่งขึ้นอย่างชัดเจน เส้นทางลูกหนังของ “ตังค์” เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2535 ที่สงขลา โตที่สมุทรปราการ และเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ก่อนพัฒนาฝีเท้าโดดเด่นในช่วงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี กระทั่งถูก เมืองทอง ยูไนเต็ด เซ็นสัญญาอาชีพในปี 2011 เขาออกไปเก็บประสบการณ์กับ ภูเก็ต เอฟซี และ นครราชสีมา มาสด้าฯ ก่อนถูกดึงกลับเมืองทองในปี 2014 และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญจนติดทีมชาติไทยในยุค “ซิโก้” พร้อมสร้างชื่อจากผลงานระดับนานาชาติ เช่น การคว้าอันดับ 4 เอเชียนเกมส์ 2014 จุดเปลี่ยนสำคัญ – ข้อเท้าหัก ระหว่างฟอร์มกำลังพุ่ง สารัชต้องเจออาการบาดเจ็บหนักจากการโดนเข้าสกัดจนข้อเท้าหัก ต้องพักยาวกว่า 8 เดือน และต้องเริ่มต้นสร้างทุกอย่างใหม่ แต่ด้วยใจสู้ เขากลับมาทวงฟอร์มได้อีกครั้งจนกลายเป็นแกนหลักของเมืองทองฯ ย้ายทีม–ต่างแดน–กลับมาสู้ใหม่ ปี 2020 ย้ายไปร่วมทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 30 ล้านบาท และพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สโมสร ก่อนตามความฝันไปเล่นที่ญี่ปุ่นกับ เรโนฟา ยามากุจิ (เจทู) แม้จะได้ลงน้อยเพียง 5 นัด แต่เมื่อกลับไทยก็กลับมาคืนฟอร์มกับ บีจีฯ อีกครั้ง แม้จะเจ็บนิ้วก้อยร้าวเล็กน้อยในปี 2025 คืนทีมชาติไทยในรอบ 526 วัน การมาของกุนซือใหม่อย่าง ฮัดสัน ทำให้สารัชถูกเรียกกลับทีมชาติไทย และเขาได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งใน 2 นัดแรกที่ลงสนาม ทั้งพลัง, ประสบการณ์ และความนิ่งในแดนกลางยังคงเป็นสิ่งที่ทีมชาติไทยต้องการเสมอ เรื่องราวของสารัช คือบทพิสูจน์ว่า “ความไม่ยอมแพ้” สามารถพาเขากลับสู่จุดที่หลายคนคิดว่าเขาอาจไม่มีวันได้กลับมา และวันนี้เขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เล่นรุ่นใหม่เดินตามรอยได้อย่างงดงาม

ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการประเดิมคุมทีมชาติไทย อย่างเป็นทางการของ แอนโธนี ฮัดสัน ด้วยผลงานชนะ 2 นัดรวด ในเกมอุ่นเครื่องเชือด สิงคโปร์ 3-2 และบุกไปเอาชนะ ศรีลังกา 4-0 ในศึกเอเชียนคัพ รอบคัดเลือก


แน่นอนว่านอกจากผลการแข่งขันแล้วไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งของบรรดาแข้งซีเนียร์ ทั้ง ธีราทร บุญมาทัน และ สารัช อยู่เย็น ที่ต่างได้ลงสนามครบทั้ง 2 นัด และผลงานภาพรวมก็ถือว่าน่าประทับใจกับการที่ทั้งสองคนต่างยิงประตูได้ด้วยกันทั้งคู่ในเกมอุ่นเครื่อง


ยิ่งไปกว่านั้นการสอดประสานงานร่วมกันในแดนกลางของทั้งสองคนก็ถือว่าทำได้อย่างเนียนตาด้วยประสบการณ์ที่สูงของทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้รูปเกมของเราดูมีความนิ่งมากขึ้น จริงอยู่ที่แม้ว่าจะเป็นเกมที่เจอกับคู่แข่งอันดับต่ำกว่า แต่ก็นับเป็นการกลับมาที่น่าชื่นชม


เราจึงขอใช้โอกาสนี้พาทุกท่านไปย้อนรอยดูประวัติเส้นทางลูกหนังของ สารัช อยู่เย็น 1 ในแข้งซีเนียร์ที่การกลับมาสู่แคมป์ทีมชาติไทยของเขาในครั้งนี้ ต้องรอคอยนานถึง 526 วันกันเลยทีเดียว


ประวัติ สารัช อยู่เย็น


"ตังค์" สารัช อยู่เย็น เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยมีคุณแม่เป็นชาวจังหวัดปัตตานี แต่เจ้าตัวไปเกิดที่โรงพยาบาลสงขลา ก่อนจะมีชีวิตในวัยเด็กที่จังหวัดสมุทรปราการ และจุดเริ่มต้นของการเล่นฟุตบอลก็มาจากคุณพ่อที่ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้และปลูกฝังให้ลูกมีใจรักในฟุตบอลเช่นกัน


เขาเริ่มต้นฝึกฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ช่วง ม.ปลาย ภายหลังเจ้าตัวเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ในช่วงที่วงการฟุตบอลไทยลีกกำลังเป็นกระแสฟีเวอร์สุดขีด


และด้วยความที่ยุคนั้น สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยได้ไปผูกกับ โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี เพื่อผลักดันเด็กๆนักฟุตบอลของโรงเรียนที่ฝีเท้าดูดีมีอนาคตให้ก้าวสู่ระบบฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว หรือเปรียบง่ายๆสถาบันแห่งนี้เป็นเสมือนอคาเดมีของสโมสร


แน่นอนว่าฝีเท้าของ สารัช จัดอยู่ในกลุ่มที่อนาคตไกล ทำให้สโมสรเมืองทองฯ ไม่รอช้าที่จะเซ็นสัญญาอาชีพเข้าสู่ทีมทันที ในปี 2011 พร้อมกับความคาดหวังว่านี่คือเพชรเม็ดงามที่รอวันเจียระไนให้กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมในอนาคต

สารัช อยู่เย็น ร่วมทีมภูเก็ต เอฟซี-นครราชสีมา ด้วยสัญญายืมตัว


แต่กว่าที่เพชรเม็ดนี้จะเริ่มส่องประกายและก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ก็แลกมาด้วยระยะเวลาที่ต้องออกไปหาประสบการณ์ สโมสรจึงตัดสินใจส่งตัวไปให้ทัพ "กิเลนทะเลใต้" ภูเก็ต เอฟซี ทีมพันธมิตรที่ตอนนั้นแข่งขันในเวทีดิวิชั่น1(ระดับไทยลีก2ในปัจจุบัน) ยืมตัวใช้งาน 


ในช่วงเวลากับการเล่นให้ ภูเก็ต เอฟซี ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปี เขาได้โอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องและกายเป็นกำลังสำคัญของทีม จากนั้นในฤดูกาลต่อมา ปี 2013 ก็ได้โอกาสย้ายไปร่วมทีม "สวาดแคท" นครราชสีมาฯ ก่อนจะกายเป็นฟันเพืองสำคัญช่วยให้ทีมมีโอกาสลุ้นตั๋วเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด 


แต่แล้วเขาก็ได้เล่นให้กับทัพ "สวาดแคท" เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เพราะด้วยฝีเท้าที่โดดเด่น บวกกับต้นสังกัดแม่ประสบปัญหาขาดแคลนนักเตะในตำแหน่งกองกลาง ทำให้ถูกเรียกตัวกลับสู่ทัพ "กิเลนผยอง" เพื่อลุยศึกไทยลีกฤดูกาล 2014 


สารัช อยู่เย็น ติดทีมชาติไทย


ส่วนผลงานระดับทีมชาติ สารัช ได้โอกาสติดเยาวชนทีมชาติไทยทุกชุด ไล่ตั้งแต่ U17, U19 และ U23 ก่อนจะถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ในยุคของ "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หลังกลับมาโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในสีเสื้อของ เมืองทอง ยูไนเต็ด 


นับเป็นช่วงเวลาที่ผลงานภาพรวมของเขากำลังขึ้นหม้อสุดๆทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติที่กอบโกยความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลงานชิ้นโบว์แดงกับการคว้าอันดับ4 ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2014


สารัช อยู่เย็น ข้อเท้าหักปิดเทอมยาว


ผลงานที่กำลังโลดแล่นและเส้นทางที่สดใสในวงการฟุตบอลต้องมาเจอกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บหนักจากการโดน พิชิต ใจบุญ ที่เวลานั้นค้าแข้งอยู่กับสุโขทัยฯ เสียบหนักจากด้านหลัง จนถึงขั้นข้อเท้าหัก ในชนิดที่ น.พ. พรเทพ ม้ามณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ศัลยกรรมกระดูกและไหล่ เวชศาสตร์การกีฬาโรงพยาบาลกรุงเทพและสโมสรเมืองทองฯ ลงความเห็นว่าเป็นอาการที่ค่อนข้างรุนแรง


โดยบทสัมภาษณ์ของ น.พ. พรเทพ ม้ามณี ระบุว่า "ปัญหาคือกระดูกด้านข้างตรงข้อเท้าของเขาหัก ทำให้ข้อเท้าหลุดออกไป และเอ็นรอบๆข้อเท้าก็หลุดด้วย การรักษาคือต้องใส่เหล็กไว้ตรงกระดูกที่หัก และเย็บซ่อมเอ็นที่อยู่ตรงข้อเท้า ทั้งหมด 3 จุด ถือว่ารุนแรงพอสมควร"


นี่คือฝันร้ายที่อยู่คู่กับนักกีฬา อาการบาดเจ็บครั้งนั้นส่งผลให้เขาต้องปิดเทอมยาว ทั้งๆที่ฤดูกาลใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่หนักหนาที่สุดในชีวิตนักฟุตบอล จากนักเตะที่สื่อเกาหลีใต้ รายงานว่าสามารถย้ายไปเล่นในเคลีก ได้แบบสบายๆ กลายเป็นว่าต้องโชคร้ายมาเจ็บหนักในแบบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

โชคดีอย่างเดียวในความโชคร้ายครั้งนี้คือ สารัช อายุยังน้อย ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกลับมาครั้งนี้ของเขา มาในสภาพที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


ทั้งร่างกายที่ผ่านการบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้า และระยะเวลาที่ร้างสนามไปนาน ทำให้เขาต้องมุ่งมั่นและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สิ่งเดียวที่มีเหนือร่างกายคือจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ เขากลับมาลงเล่นให้ทีมอีกครั้งหลังใช้เวลารักษาตัวและเรียกความฟิตไปนานกว่า 8 เดือนเต็ม


การกลับมาของ สารัช แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเพื่อคืนสู่จุดเดิม แต่เขาก็ทำด้วยความเต็มใจ ก่อนจะค่อยๆเรียกจังหวะต่างๆของตัวเองกลับมาอีกครั้ง และกลายเป็นกำลังสำคัญของเมืองทอง ยูไนเต็ดเรื่อยมา


สารัช อยู่เย็น ย้ายร่วมทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด


จากดาวรุ่งกลายเป็นนักเตะซีเนียร์และสวมปลอกแขนกัปตันทีม เมืององ ยูไนเต็ด ก็มาถึงค่ำคืนแห่งวันอำลา 26 พ.ค. 2020 สโมสีบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ประกาศคว้าตัว สารัช อยู่เย็น จากเมืองทองฯ ด้วยค่าตัว 30 ล้านบาท ก่อนจะกลายเป็นส่วนเติมเต็มช่วยให้ทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองไทยได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 


สารัช อยู่เย็น ย้ายไปเล่นลีกญี่ปุ่น


เข้าสู่เดือนกรกฎาคม ปี 2024 สารัช ได้โอกาสตามความฝันกับการเล่นต่างแดน หลังย้ายไปร่วมทีม เรโนฟา ยามากุจิ ในศึกเจลีก 2 ด้วยสัญญายืมตัว แต่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากเขาไม่ได้รับโอกาสลงเล่นเท่าที่ควร ด้วยสถิติลงสนามไปเพียง 5 เกม ในลีก  3 นัด และ เอ็มเพอร์เรอร์ คัพ 2 นัด ก่อนจะถูก บีจีฯ ดึงตัวกลับมาใช้งานในช่วงเลก2 


หลังกลับมาอยู่ในแผ่นดินไทย สารัช กลับมาเล่นได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง โดยเฉพาะในฤดูกาล 2025 ที่ดูเหมือนจะออกสตาร์ทได้สวย แต่ก็ไม่วายได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วก้อยร้าว เป็นเหตุให้ต้องพักรักษาตัวอีกร่วมๆ 6 สัปดาห์


แต่การเจ็บครั้งนี้มันดูเบาไปเลยหากเทียบกับครั้งก่อน สารัช กลับมาด้วยความกระหายอีกครั้งในยุคที่ บีจีฯ เปลี่ยนกุนซือมาเป็น มาซาทาดะ อิชิอิ การเล่นของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่สวนทางกับวัย แถมประสบการณ์ก็ช่วยให้เขาเติมเต็มให้กับต้นสังกัดกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง


สารัช อยู่เย็น กลับมาติดทีมชาติไทยในรอบ 526 วัน


ในขณะที่ทีมชาติไทย มีการเปลี่ยนผ่านกุนซือ จาก อิชิอิ มาเป็น แอนโธนี ฮัดสัน เขาได้รับโอกาสสำคัญในชีวิตอีกครั้ง กับการมีชื่อถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยในรอบ 526 วัน เชื่อเหลือเกินว่านี่คือวันที่เขาแทบไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกลับมาอีกครั้ง


แต่ด้วยความพยายามทั้งหมดที่ใส่ลงไป วินัยในการทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองรัก มันมีผลตอบแทนรออยู่เสมอ 2 เกมในการกลับมาสู่ทัพ "ช้างศึก" เขาแสดงให้เห็นแล้วว่านี่คือคุณค่าที่คู่ควร นี่คืออีกหนึ่งนักเตะต้นแบบของน้องๆนักเตะไทยที่จะดำเนินรอยตาม 


จากนี้ก็หวังแต่เพียงว่าเขาจะรักษาสภาพร่างกายและความสามารถให้อยู่ในระดับสูงต่อไปอีกนานๆ เพราะทุกสิ่งที่ผ่านมาเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการที่ทีมชาติไทย มี สารัช ยังไงมันก็ย่อมดีกว่าเสมอ

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : FA Thaland

แท็กบทความ