นวัตกรรมเปลี่ยนของเสีย “โรงถลุงเหล็ก” สู่วัสดุสร้าง “คอนกรีต” ที่ยั่งยืน

นวัตกรรมเปลี่ยนของเสีย “โรงถลุงเหล็ก” สู่วัสดุสร้าง “คอนกรีต” ที่ยั่งยืน

อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและการก่อสร้างทั่วโลกกำลังเร่งปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

สรุปข่าว

บริษัท Cocoon ได้พัฒนาวิธีรีไซเคิล ตะกรันจากเตาหลอมไฟฟ้า (EAF slag) โดยเปลี่ยนให้เป็นวัสดุคล้าย "แก้ว" ซึ่งเมื่อนำไปผสมกับปูนซีเมนต์ จะช่วยลดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในคอนกรีตได้ถึง 30-50% พร้อมทั้งเพิ่มความแข็งแรง นี่คือนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและการก่อสร้างลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืน

อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและการก่อสร้างทั่วโลกกำลังเร่งปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเปลี่ยนจากเตาถลุงเหล็กแบบดั้งเดิมที่ใช้ถ่านหิน ไปสู่การใช้ เตาหลอมไฟฟ้า (EAF) ที่ทันสมัยกว่า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการรีไซเคิลของเสียจากเตาหลอมไฟฟ้า ที่เรียกว่า สแลก (slag) หรือ ตะกรัน


โดยปกติแล้ว ตะกรันจากเตาถลุงแบบดั้งเดิม จะถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมสีเขียวในปูนซีเมนต์ แต่ตะกรันจากเตาไฟฟ้า ยังไม่มีวิธีการรีไซเคิลตะกรันที่ได้ในแบบเดียวกัน จนกระทั่งปัจจุบัน บริษัท โคคูน (Cocoon) สตาร์ตอัพสัญชาติอังกฤษ ได้เข้ามาแก้ปัญหานี้


บริษัทโคคูน ได้พัฒนาวิธีการทำให้ตะกรันจากเตาไฟฟ้า เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วในแม่พิมพ์พิเศษ ทำให้เกิดเป็นวัสดุคล้าย “แก้ว” ที่มีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับตะกรันจากเตาถลุงแบบดั้งเดิม เมื่อนำแก้วนี้ไปบดและผสมกับปูนซีเมนต์ จะสามารถลดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในคอนกรีตได้ถึงร้อยละ 30-50 และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของคอนกรีตอีกด้วย


เทคโนโลยีนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงสองอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน และแก้ไขจุดบกพร่องในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับการก่อสร้างที่ยั่งยืนทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ปัจจุบันบริษัทโคคูนกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ และตั้งเป้าที่จะนำไปทดลองใช้งานจริงในขนาดเต็มที่โรงงานเหล็กในสหรัฐฯ ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิตเหล็กลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และดูแลโลกได้มากขึ้น