
]วันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการระดมสมองครั้งที่ 1 ของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอวกาศยานประเทศไทย (Thailand Spaceport) จัดโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ บริษัท KPMG เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21
ผลสรุปเบื้องต้นได้เปิดเผยสัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงและพร้อมเพียงพอในการสร้างท่าอวกาศยานเชิงพาณิชย์ของตนเอง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ ยุคเศรษฐกิจอวกาศใหม่ (New Space Economy) และอาจก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมอวกาศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น
เผยผลการศึกษา 3 พื้นที่ศักยภาพสูง
ผลการประเมินเบื้องต้นได้ระบุพื้นที่เหมาะสมที่มีศักยภาพในการพัฒนาท่าอวกาศยานไว้ 3 แห่ง โดยมีจุดเด่นและรูปแบบการส่งที่แตกต่างกัน ได้แก่:
1. เกาะจวง/เกาะจาน จังหวัดชลบุรีถูกระบุว่าเหมาะสำหรับการส่งยานแบบแนวดิ่ง (Vertical Launch) โดยมีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นด้านการใช้ประโยชน์พื้นที่และมีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่น้อย
2. แหลมสนอ่อน จังหวัดสงขลามีความเหมาะสมกับการส่งแบบแนวดิ่งเช่นกัน แต่จำเป็นต้องมีการพิจารณาเรื่องผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนอย่างละเอียด
3. สนามบินนานาชาติอู่ตะเภามีความโดดเด่นด้านโลจิสติกส์ที่เหนือกว่า และมีความเหมาะสมกับการส่งแบบแนวราบ (Horizontal Launch) โดยมีศักยภาพในการพัฒนาเป็น คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอวกาศ ที่สำคัญของประเทศในอนาคต
ผลการศึกษานี้ระบุถึงความเป็นไปได้สูงครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
KPMG ในฐานะผู้ดำเนินการศึกษา ได้เปิดเผยผลวิเคราะห์ที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ในระดับมหภาค หากประเทศไทยมีการจัดตั้ง Spaceport สำเร็จ โดยประโยชน์ที่สำคัญ ได้แก่
1. การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนช่วยกระตุ้นและสร้างอุตสาหกรรมอวกาศใหม่ในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลก และอาจนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ระดับ หมื่นล้านบาท
2. ยกระดับศักยภาพชาติเพิ่มความเป็นอิสระและความมั่นคงของประเทศในการส่งดาวเทียมและพัฒนานวัตกรรมด้านอวกาศด้วยตนเอง
3. การพัฒนาคนรุ่นใหม่ ยกระดับทักษะด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) พร้อมสร้างอาชีพแห่งอนาคตให้กับเยาวชน โดยเริ่มต้นจากการให้บริการ suborbital launch
4. สู่การเป็นชาติอวกาศ สนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “Space-Faring Nation” ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในภูมิภาค
สรุปข่าว
]วันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการระดมสมองครั้งที่ 1 ของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอวกาศยานประเทศไทย (Thailand Spaceport) จัดโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ บริษัท KPMG เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21
ผลสรุปเบื้องต้นได้เปิดเผยสัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงและพร้อมเพียงพอในการสร้างท่าอวกาศยานเชิงพาณิชย์ของตนเอง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ ยุคเศรษฐกิจอวกาศใหม่ (New Space Economy) และอาจก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมอวกาศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น
เผยผลการศึกษา 3 พื้นที่ศักยภาพสูง
ผลการประเมินเบื้องต้นได้ระบุพื้นที่เหมาะสมที่มีศักยภาพในการพัฒนาท่าอวกาศยานไว้ 3 แห่ง โดยมีจุดเด่นและรูปแบบการส่งที่แตกต่างกัน ได้แก่:
1. เกาะจวง/เกาะจาน จังหวัดชลบุรีถูกระบุว่าเหมาะสำหรับการส่งยานแบบแนวดิ่ง (Vertical Launch) โดยมีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นด้านการใช้ประโยชน์พื้นที่และมีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่น้อย
2. แหลมสนอ่อน จังหวัดสงขลามีความเหมาะสมกับการส่งแบบแนวดิ่งเช่นกัน แต่จำเป็นต้องมีการพิจารณาเรื่องผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนอย่างละเอียด
3. สนามบินนานาชาติอู่ตะเภามีความโดดเด่นด้านโลจิสติกส์ที่เหนือกว่า และมีความเหมาะสมกับการส่งแบบแนวราบ (Horizontal Launch) โดยมีศักยภาพในการพัฒนาเป็น คลัสเตอร์อุตสาหกรรมอวกาศ ที่สำคัญของประเทศในอนาคต
ผลการศึกษานี้ระบุถึงความเป็นไปได้สูงครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค เศรษฐศาสตร์ การเงิน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
KPMG ในฐานะผู้ดำเนินการศึกษา ได้เปิดเผยผลวิเคราะห์ที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ในระดับมหภาค หากประเทศไทยมีการจัดตั้ง Spaceport สำเร็จ โดยประโยชน์ที่สำคัญ ได้แก่
1. การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนช่วยกระตุ้นและสร้างอุตสาหกรรมอวกาศใหม่ในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลก และอาจนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ระดับ หมื่นล้านบาท
2. ยกระดับศักยภาพชาติเพิ่มความเป็นอิสระและความมั่นคงของประเทศในการส่งดาวเทียมและพัฒนานวัตกรรมด้านอวกาศด้วยตนเอง
3. การพัฒนาคนรุ่นใหม่ ยกระดับทักษะด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) พร้อมสร้างอาชีพแห่งอนาคตให้กับเยาวชน โดยเริ่มต้นจากการให้บริการ suborbital launch
4. สู่การเป็นชาติอวกาศ สนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “Space-Faring Nation” ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในภูมิภาค
