แผ่นปิดแผลนาโนเทค ฆ่าเชื้อดื้อยาร้ายแรงได้ถึง 99%

บางคนอาจจะมองว่าโรงพยาบาลคือสถานที่แห่งสุขอนามัยที่ดีที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่าโรงพยาบาลนั้นเต็มไปด้วยเชื้อดื้อยาที่กำจัดได้ยาก และมีโอกาสปนเปื้อนในแผลผ่าตัดของผู้ป่วยที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลนาน ๆ อีกด้วย

ที่มาของภาพ https://scitechdaily.com/superbug-killer-new-nanotech-destroys-bacteria-and-fungal-cells-while-leaving-human-cells-unharmed/

 

เนื่องจากโรงพยาบาลมีการใช้ยาปฏิชีวนะรวมถึงสารทำความสะอาดที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อมากมาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียต้องวิวัฒนาการจนกลายเป็นเชื้อดื้อยา ไม่สามารถกำจัดด้วยยาปฏิชีวนะตามปกติได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเชื้อเหล่านี้เข้าไปอยู่ในแผลของผู้ป่วยหลังผ่าตัด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจนเป็นปัญหาใหญ่อย่างไม่คาดฝันเลยทีเดียว

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย RMIT ประเทศเวียดนาม จึงได้คิดค้นวัสดุปิดแผลชนิดใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีนาโนเทค ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มโอกาสในการดื้อยายิ่งกว่าเดิม

เชื้อราที่ตายเมื่อเซลล์สัมผัสกับชั้นฟอสฟอรัสดำ

ที่มาของภาพ https://scitechdaily.com/superbug-killer-new-nanotech-destroys-bacteria-and-fungal-cells-while-leaving-human-cells-unharmed/

 

วัสดุปิดแผลนี้ประกอบด้วยชั้นที่เคลือบสารฟอสฟอรัสดำ (Black phosphorus) ซึ่งเป็นสารเสถียรรูปแบบหนึ่งของแร่ธาตุฟอสฟอรัสแต่มีความไวในการเกิดปฏิกิริยามาก ทันใดที่ผิวของแบคทีเรียหรือเชื้อราแตะเข้ากับชั้นฟอสฟอรัสดำ จะทำให้เกิดโมเลกุลออกซิเจนในรูปอนุมูลอิสระออกมา (Reactive oxygen species - ROS) โมเลกุลออกซิเจนอนุมูลอิสระจะทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรียและเชื้อรา จนเซลล์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้และตายในที่สุด 

ในการทดลองพบว่าสัวดุปิดแผลเคลือบฟอสฟอรัสดำ สามารถฆ่าเชื้อดื้อยาตัวร้ายอย่าง MRSA ได้ 99% ภายใน 2 ชั่วโมง นอกจากนี้วัสดุปิดแผลยังสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติภายใน 24 ชั่วโมงอีกด้วย

ที่มาของภาพ https://scitechdaily.com/superbug-killer-new-nanotech-destroys-bacteria-and-fungal-cells-while-leaving-human-cells-unharmed/

 

อนาคตคาดว่าจะมีการพัฒนาวัสดุทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่เคลือบด้วยฟอสฟอรัสดำด้วยเทคโนโลยีนาโนเทคเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวัสดุปิดแผลหรือไหมละลายเย็บแผล ซึ่งสามารถย่อยสลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย แถมไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Iflscience