สมรภูมิ "3 เมือง" วัดพลัง "แดง-ส้ม" ชิงฐานมวลชน

เมื่อสนามเลือกตั้งท้องถิ่นกลายเป็น "สนามประลอง" ตัดสินกระแสมวลชน ท่ามกลางการปะทะของสองขั้วอำนาจ

ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านของการเมืองระดับชาติ "สนามเลือกตั้งท้องถิ่น" ใน 3 จังหวัด กลับกลายเป็น "สมรภูมิร้อน" ที่ทุกฝ่ายจับตา เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งนายก อบจ. ธรรมดา แต่เป็นการวัดพลังครั้งสำคัญระหว่าง "พรรคร่วมรัฐบาล" กับ "พรรคฝ่ายค้าน" ที่กำลังรุกคืบเข้ามาท้าชิงพื้นที่

"อุดรธานี" ดินแดนที่เคยได้ฉายา "เมืองหลวงคนเสื้อแดง" พลิกโฉมเป็นสนามรบที่เดือดที่สุด เมื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในรอบหลายสิบปี นั่นคือการขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียง บ่งบอกถึงความ "หวั่นไหว" ของพรรคเพื่อไทยต่อการรุกคืบของ "กระแสส้ม" ที่นำโดย "ธนาธร-พิธา" ผู้นำทัพพรรคประชาชน

"นโยบายประชานิยม" ที่เคยเป็นจุดแข็งของเพื่อไทย กำลังเผชิญการท้าทายจาก "นโยบายเปลี่ยนเมือง" ของพรรคประชาชน ที่พุ่งเป้าไปที่คนรุ่นใหม่และชนชั้นกลาง การปะทะกันครั้งนี้จึงเป็น "สนามทดสอบ" ที่จะชี้วัดว่าประชาชนกำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบใด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยเป็น "ฐานเสียงเหนียวแน่น" ของพรรคเพื่อไทย

ขณะที่ "เพชรบุรี" เปิดฉากการต่อสู้ระหว่าง "อำนาจเก่า" กับ "พลังใหม่" โดยมี "นายกปราย" ชัยยะ ที่ครองอำนาจมาหลายสมัย ปะทะกับ "ทนายกฤษณ์" ที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งพรรคภูมิใจไทยและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ปรากฏการณ์ "พันธมิตรแปลกหน้า" นี้กำลังเขย่าการเมืองท้องถิ่นให้สั่นสะเทือน

ส่วน "นครศรีธรรมราช" ปะทุเป็นสนามชิงอิทธิพลระหว่าง "ขั้วอำนาจเก่า" ที่นำโดย "นายกต้อย" กนกพร กับ "พลังท้าทาย" จาก "น้ำ วาริน" ที่มีพรรคภูมิใจไทยหนุนหลัง เป็นการประลองกำลังระหว่างระบบอุปถัมภ์แบบดั้งเดิมกับการเมืองสมัยใหม่ที่กำลังก่อตัวในภาคใต้

คำถามสำคัญที่ต้องติดตามคือ "กลุ่มสวิงโหวต" จะเลือกอยู่ข้างใด? ระหว่าง "ความมั่นคง" ของระบบเก่า กับ "ความหวัง" จากการเปลี่ยนแปลง นี่คือ "บทพิสูจน์" ที่จะบ่งชี้ทิศทางการเมืองไทยในอนาคต

ผลการเลือกตั้ง 24 พฤศจิกายนนี้ จึงไม่ใช่แค่การได้มาซึ่ง "ผู้บริหารท้องถิ่น" แต่อาจเป็น "จุดเปลี่ยน" ครั้งสำคัญของการเมืองไทย ที่จะส่งผลกระทบต่อการเมืองระดับชาติในอนาคตอันใกล้

ภาพ พรรคเพื่อไทย / พรรคประชาชน