
สรุปข่าว
"ความต่อเนื่อง" ในการดูแลชาวนาไทยของรัฐบาลแต่ละยุคปรากฏเด่นชัดอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เมื่อ ธ.ก.ส. เริ่มโอนเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมเกษตรกรกว่า 4.61 ล้านครัวเรือน จำกัดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน สะท้อนให้เห็นการออกแบบนโยบายที่ (ทั่วถึง) และ (เป็นธรรม)
ย้อนกลับไปในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลได้วางรากฐานสำคัญในการบริหารจัดการข้าวไทยผ่านระบบ "พรีเมี่ยมข้าว" ซึ่งแม้จะมีข้อถกเถียงในแง่ผลกระทบต่อรายได้ชาวนา แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ (วางระบบบริหารจัดการ) ข้าวไทยอย่างเป็นรูปธรรม มีการควบคุมการส่งออก การกำหนดโควตา และการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวภายในประเทศ
ปี 2525 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการช่วยเหลือชาวนาไทย เมื่อมีการริเริ่ม "โครงการรับจำนำข้าว" เป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็น (นวัตกรรมนโยบาย) ที่ช่วยสร้างหลักประกันรายได้ให้ชาวนาได้อย่างเป็นระบบ โดยรัฐจะรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าตลาด มีการดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำให้ชาวนามีทางเลือกในการขายผลผลิต และมีอำนาจต่อรองมากขึ้น นโยบายนี้ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาระบบช่วยเหลือชาวนาในยุคต่อมา
นโยบายรับจำนำข้าวได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในสมัยรัฐบาลทักษิณ (2544-2549) ที่กำหนดราคารับจำนำสูงถึงตันละ 15,000 บาท ส่งผลให้รายได้ชาวนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เกิดการ (กระจายรายได้) สู่ภาคชนบท และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
รัฐบาลอภิสิทธิ์ (2552-2553) นำเสนอทางเลือกใหม่ผ่านระบบ "ประกันราคา" ซึ่งช่วยลดภาระทางการคลัง ขณะที่ยังคง (รักษาเสถียรภาพรายได้) ให้ชาวนา โดยรัฐจะจ่ายส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาประกัน ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น
ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ (2554-2557) นโยบายรับจำนำข้าวได้รับการขยายเป็น "จำนำทุกเมล็ด" สะท้อน (ความมุ่งมั่น) ในการยกระดับรายได้ชาวนาอย่างทั่วถึง แม้จะมีข้อถกเถียงในแง่ภาระการคลัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงขึ้นในช่วงเวลานั้น
รัฐบาล คสช. และรัฐบาลประยุทธ์ (2557-2566) ปรับเปลี่ยนแนวทางมาสู่ "การช่วยเหลือโดยตรง" ผ่านการสนับสนุนเงินรายไร่ ควบคู่กับมาตรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบชลประทาน การส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิต และการประกันภัยพืชผล ซึ่งช่วย (เสริมสร้างความมั่นคง) ในอาชีพชาวนาอย่างรอบด้าน
ปัจจุบัน รัฐบาลแพทองธารภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับการบูรณาการ ทั้งการช่วยเหลือเฉพาะหน้าและการพัฒนาระยะยาว โดยล่าสุดวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ได้เริ่มโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567-2568 ผ่าน ธ.ก.ส. โดยจ่ายเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ครอบคลุมเกษตรกร 4.61 ล้านครัวเรือน
เมื่อมองย้อนกลับไป จะเห็นว่านโยบายช่วยเหลือชาวนาของไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึง "ความห่วงใย" และ "ความมุ่งมั่น" ของรัฐบาลทุกยุคที่พยายามปรับปรุงและพัฒนานโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แม้แต่ละนโยบายอาจมีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการ "ยกระดับคุณภาพชีวิต" ของชาวนาไทย
ความท้าทายในอนาคตคือการพัฒนานโยบายที่สามารถ (สร้างความยั่งยืน) ให้กับอาชีพชาวนา ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือระยะสั้น แต่ต้องครอบคลุมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การบริหารจัดการน้ำ การแปรรูปผลผลิต และการเพิ่มช่องทางการตลาด เพื่อให้ "ชาวนาไทย" สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในเวทีการค้าโลก
ภาพ Freepik
- เตรียมชง นบข. ไฟเขียว 4 มาตรการ รับมือผลผลิตข้าวเปลือกนาปี 68/69
- วิจัยชี้ “ชีวิตคาร์บอนต่ำ” ช่วยลดโลกร้อนได้ถึง 40%
- ปลูกพลูขายใบ เก็บขายได้เงินหมื่นต่อเดือน I เรื่องดีดีทั่วไทย 14-05-25
- ปลูก"ผักสาบ" 4 ไร่ โกยรายได้หลักแสนต่อเดือน | เรื่องดีดีทั่วไทย | 13-05-68
- นายกฯ เร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ พร้อมรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ
- เที่ยว “ฮาวาย” อาจแพงขึ้น เตรียมเก็บ “ค่าธรรมเนียมสีเขียว” ช่วยปกป้องธรรมชาติระยะยาว
- ชาวนาไทยช้ำหนัก เจอข้าวอินเดียราคาตกต่ำ ซ้ำด้วยภาษีทรัมป์ เสี่ยงทำส่งออกลดฮวบ
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand