
3 คนไทยมอบตัว DSI คดีนอมินีไชน่า เรลเวย์ฯ หลังศาลออกหมายจับ
กรุงเทพฯ 21 เมษายน 2568 – ความคืบหน้าคดีการถือหุ้นแทนในบริษัทต่างชาติ กรณีบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ที่ถูกตรวจสอบภายหลังเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่ม ล่าสุด ชาวไทย 3 รายที่มีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ได้ทยอยเดินทางเข้ามอบตัวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ครบทั้งหมดแล้ว
การมอบตัวของทั้ง 3 รายมีขึ้นหลังจากศาลอาญาอนุมัติหมายจับในข้อหาตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือกรณี "นอมินี" โดยระบุว่ามีการถือหุ้นในบริษัทต่างชาติที่รับงานภาครัฐเกินกว่าร้อยละ 50 โดยไม่มีบทบาทในเชิงบริหารหรือคุณสมบัติเฉพาะทางด้านวิศวกรรมก่อสร้าง
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิทางกฎหมาย พร้อมสอบปากคำตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน ทนายความของหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาได้นำเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมมายื่นต่อเจ้าหน้าที่ โดยยืนยันว่าผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 รายไม่ได้มีพฤติการณ์ถือหุ้นแทน พร้อมให้ความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรม

สรุปข่าว
เบื้องหลังการสอบสวน: เงื่อนงำธุรกรรมและเส้นทางการเงิน
หลังเกิดเหตุการณ์อาคารถล่มเมื่อเดือนมีนาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มตรวจสอบบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เข้าร่วมโครงการ โดย DSI พบข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ซึ่งมีรายชื่อชาวไทยถือหุ้นส่วนใหญ่ แต่ไม่มีข้อมูลการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการจริง
นอกจากนี้ ยังพบธุรกรรมทางการเงินกว่า 2,000 ล้านบาทที่อาจเชื่อมโยงกับกรรมการชาวต่างชาติ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับการให้กู้แก่ผู้ถือหุ้นชาวไทยหรือไม่ โดยลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการถือหุ้นแทนซึ่งผิดกฎหมาย
กระบวนการสอบสวนยังดำเนินต่อ
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า คดีนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม โดยย้ำว่าการดำเนินคดีจะเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และยังไม่มีการสรุปความผิดของบุคคลใดในขั้นตอนนี้
ประเด็นที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม: ระบบคัดกรองบริษัทร่วมงานภาครัฐ
กรณีนี้ทำให้เกิดข้อสังเกตเกี่ยวกับกระบวนการคัดกรองบริษัทที่เข้าร่วมงานภาครัฐ โดยเฉพาะในส่วนของการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ถือหุ้นและผู้บริหารที่แท้จริง ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่อาจเอื้อให้มีการแฝงตัวของทุนต่างชาติ
การสอบสวนในคดีนี้จึงมีความสำคัญในเชิงระบบ ไม่เพียงแต่เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงรายบุคคล แต่ยังเกี่ยวข้องกับแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการกำกับดูแลการลงทุนจากต่างประเทศให้มีความเข้มงวดและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียงจาก DSI
ที่มารูปภาพ : TNN