
- มองมุมกฎหมาย คดีเมียหลวงท้องแก่กระทืบกิ๊กผัวเสียชีวิต
ทำความเข้าใจ “คอ หน้า หน้าอก” จุดเปราะบางที่อาจนำไปสู่ความตายได้
มือเปล่า เท้าเปล่า ฆ่าคนได้จริงหรือ?
จากกรณีที่เป็นข่าวในพื้นที่เขตมีนบุรี เมื่อหญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายหญิงอีกคนจนเสียชีวิต สร้างความสนใจในสังคมและสื่อมวลชนจำนวนมาก โดยเฉพาะประเด็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยใช้อวัยวะร่างกาย เช่น มือและเท้า โดยไม่มีอาวุธใด ๆ แล้วสามารถทำให้คนเสียชีวิตได้จริงหรือไม่
จากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มีนบุรี ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 เมษายน 2568 โดยหญิงรายหนึ่งอายุประมาณ 27 ปี อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ได้เดินทางไปยังรีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขตมีนบุรี หลังทราบว่าสามีอยู่กับหญิงสาวรายหนึ่งภายในห้องพัก ก่อนเกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันหน้าห้องพัก โดยมีการบันทึกภาพผ่านกล้องวงจรปิด ซึ่งเจ้าหน้าที่นำมาใช้ประกอบการสอบสวน
หญิงผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่ผู้ก่อเหตุได้เข้ามอบตัวภายหลัง พร้อมให้การเบื้องต้นต่อพนักงานสอบสวน และอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการตามกฎหมาย
กรณีนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงในสังคมว่า หากการทำร้ายเกิดจากการใช้เท้าเตะหรือกระทืบในบริเวณสำคัญของร่างกาย เช่น คอ ใบหน้า หรือหน้าอก โดยไม่มีการใช้อาวุธ จะสามารถเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้จริงหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น กฎหมายมีแนวทางพิจารณาอย่างไร
สรุปข่าว
- มองมุมกฎหมาย คดีเมียหลวงท้องแก่กระทืบกิ๊กผัวเสียชีวิต
ทำความเข้าใจ “คอ หน้า หน้าอก” จุดเปราะบางที่อาจนำไปสู่ความตายได้
มือเปล่า เท้าเปล่า ฆ่าคนได้จริงหรือ?
จากกรณีที่เป็นข่าวในพื้นที่เขตมีนบุรี เมื่อหญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายหญิงอีกคนจนเสียชีวิต สร้างความสนใจในสังคมและสื่อมวลชนจำนวนมาก โดยเฉพาะประเด็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยใช้อวัยวะร่างกาย เช่น มือและเท้า โดยไม่มีอาวุธใด ๆ แล้วสามารถทำให้คนเสียชีวิตได้จริงหรือไม่
จากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มีนบุรี ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 เมษายน 2568 โดยหญิงรายหนึ่งอายุประมาณ 27 ปี อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ได้เดินทางไปยังรีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขตมีนบุรี หลังทราบว่าสามีอยู่กับหญิงสาวรายหนึ่งภายในห้องพัก ก่อนเกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันหน้าห้องพัก โดยมีการบันทึกภาพผ่านกล้องวงจรปิด ซึ่งเจ้าหน้าที่นำมาใช้ประกอบการสอบสวน
หญิงผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่ผู้ก่อเหตุได้เข้ามอบตัวภายหลัง พร้อมให้การเบื้องต้นต่อพนักงานสอบสวน และอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการตามกฎหมาย
กรณีนี้นำไปสู่ข้อถกเถียงในสังคมว่า หากการทำร้ายเกิดจากการใช้เท้าเตะหรือกระทืบในบริเวณสำคัญของร่างกาย เช่น คอ ใบหน้า หรือหน้าอก โดยไม่มีการใช้อาวุธ จะสามารถเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้จริงหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น กฎหมายมีแนวทางพิจารณาอย่างไร
จุดตายที่ไม่ควรมองข้าม: คอ หน้า หน้าอก เสี่ยงถึงชีวิตแม้ไม่ใช่อาวุธ
1. คอ จุดควบคุมระบบชีวิตที่เปราะบางที่สุด
บริเวณ “ลำคอ” มีทั้งหลอดลม กล่องเสียง เส้นเลือดใหญ่ และเส้นประสาทที่เชื่อมสมองกับร่างกาย หากได้รับแรงกระแทกจากการเตะหรือกดอย่างรุนแรง อาจเกิดการหายใจติดขัดหรือระบบประสาทหยุดทำงานเฉียบพลันได้ บางกรณีแค่ “เตะก้านคอ” ก็ทำให้หมดสติหรือตายได้ทันที โดยเฉพาะถ้าคนก่อเหตุใช้เท้าและลงน้ำหนักซ้ำหลายครั้ง
2. ใบหน้าและศีรษะ การกระแทกสมองที่ร้ายแรงกว่าที่คิด
การชกต่อยหรือตบที่ใบหน้าไม่ได้ทำให้แค่เจ็บผิวหนังเท่านั้น แรงกระแทกอาจส่งผลให้สมองกระเทือน เกิดภาวะสมองบวม หรือเลือดคั่งในกะโหลก ผู้ถูกทำร้ายอาจหมดสติ ล้มฟาดพื้น และเสียชีวิตตามมา แม้จะไม่มีอาวุธหรือเลือดออกให้เห็น ในคดีนี้ ผู้ต้องหากระทืบศีรษะของผู้เสียชีวิตถึง 3 ครั้ง แรงสั่นสะเทือนจากเท้าอาจกระตุ้นให้เกิดการบาดเจ็บภายในที่ไม่มีใครเห็นจากภายนอก
3. หน้าอก อันตรายต่อหัวใจและปอด
ทรวงอกเป็นที่ตั้งของหัวใจ ปอด และหลอดเลือดใหญ่ แรงกระแทกที่หน้าอกสามารถทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หยุดเต้น หรือกระดูกซี่โครงหักแทงอวัยวะภายใน ผู้เสียชีวิตในกรณีนี้ถูกกระทืบหน้าอก 4 ครั้งติดต่อกัน การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นอาจทำให้หัวใจล้มเหลวหรือเกิดภาวะปอดแตกโดยที่ไม่มีโอกาสฟื้นตัวทันเวลา
กฎหมายมองอย่างไร: เจตนาฆ่าหรือการบันดาลโทสะ?
ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย แม้ไม่มีเจตนาฆ่า ก็มีความผิดตามกฎหมาย โดยกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี ส่วนในกรณีที่มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้กระทำอาจเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ถึงตาย เช่น การมุ่งทำร้ายอวัยวะสำคัญของร่างกาย (คอ ศีรษะ หน้าอก) หรือการลงมือหลายครั้งอย่างรุนแรง ศาลอาจพิจารณาได้ว่าเป็นการกระทำที่มีลักษณะของ เจตนาแฝง ซึ่งอาจถูกตั้งข้อหาในระดับที่สูงขึ้นตามดุลพินิจของศาล
ในคดีลักษณะนี้ หากปรากฏหลักฐาน เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิดที่แสดงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่การเริ่มทำร้าย จนถึงจุดที่ผู้ถูกทำร้ายหมดสติ โดยไม่มีการแสดงท่าทีช่วยเหลือ อาจถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาในชั้นสืบสวนหรือชั้นศาลว่า การกระทำอยู่ในขอบเขตของการบันดาลโทสะ การประมาท หรือเจตนา ซึ่งยังต้องพิจารณาร่วมกับพฤติการณ์อื่น ๆ อย่างรอบด้าน เช่น สภาพจิตใจของผู้กระทำก่อน-หลังเหตุการณ์ พฤติกรรมก่อนเกิดเหตุ และเจตนาโดยรวม
ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาและบทลงโทษขึ้นอยู่กับกระบวนการสอบสวน พยานหลักฐาน และการตีความในชั้นศาล ไม่อาจสรุปชี้ชัดได้ในเบื้องต้นว่าเข้าข่ายเจตนาฆ่าหรือไม่
สังคมควรรู้: ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่มีใครควรต้องตายเพราะความหึง
คดีนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาความรักของสามคน หรือเรื่องมือที่สามเท่านั้น แต่มันแสดงให้เห็นว่า ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่า การใช้กำลังในชีวิตคู่หรือความสัมพันธ์ใกล้ตัวเป็นเรื่องธรรมดา บางคนอาจคิดว่าแค่ตบ แค่กระทืบ ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่ความจริงคือ ถ้าโดนในจุดสำคัญของร่างกาย เช่น คอ หน้า หรือหน้าอก มันอาจถึงชีวิตได้ทันที
สิ่งสำคัญที่ควรคิดให้มากขึ้นคือ ไม่มีใครควรต้องเสียชีวิต เพียงเพราะความหึงหวง หรือแค่เพราะอยู่ผิดที่ผิดเวลา ถ้าเรายังยอมให้ความรุนแรงเป็นวิธีระบายอารมณ์หรือสั่งสอนกันแบบนี้ สังคมก็อาจต้องเจอกับข่าวเศร้าแบบนี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า
จุดเปราะบางที่ไม่ควรแตะ
คอ หน้า หน้าอก คือส่วนที่สำคัญมากของร่างกาย ถึงจะดูเหมือนไม่ใช่อาวุธ แต่ถ้าทำร้ายจุดเหล่านี้โดยไม่คิดให้รอบคอบ มันอาจคร่าชีวิตคนได้ในไม่กี่วินาที
มือเปล่า เท้าเปล่า ก็ฆ่าคนได้จริง — ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ความโกรธเพียงชั่ววูบก็อาจเปลี่ยนชีวิตคนหนึ่งให้ไม่มีวันกลับมา และเปลี่ยนชีวิตอีกคนให้ต้องอยู่กับความผิดไปตลอดชีวิต
ที่มาข้อมูล : TNN เรียบเรียง / รวบรวมจาก งานวิจัยและบทความทางการแพทย์ รายงานข่าวและความเห็นจากแพทย์นิติเวช บทบัญญัติกฎหมายอาญา
ที่มารูปภาพ : TNN