‘สมุนไพร’ แทน ‘ยาเดิม’ กับคำถาม? เพื่อเศรษฐกิจ หรือ สิทธิคนไข้

‘สมุนไพร’ แทน ‘ยาเดิม’ กับคำถาม? เพื่อเศรษฐกิจ หรือ สิทธิคนไข้

การถกเถียงครั้งใหม่ในวงการแพทย์ไทย

การถกเถียงว่าด้วย “สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน” กำลังกลายเป็นประเด็นใหญ่ในระบบสาธารณสุขไทย หลังจากกระทรวงสาธารณสุขประกาศนโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” พร้อมผลักดันบัญชียาสมุนไพรเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพ การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดประกายเสียงกังวลในหมู่แพทย์แผนปัจจุบัน นักวิชาการ และผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยว่า อาจทำให้สิทธิในการเข้าถึงยาที่เหมาะสมถูกจำกัด ขณะเดียวกัน ภาครัฐกลับมองว่านี่คือโอกาสสร้างเศรษฐกิจใหม่ ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และยกระดับสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก

จุดเริ่มต้นจากเสียงเตือนบนโซเชียลมีเดีย

ต้นเรื่องของการถกเถียงเริ่มจากโพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Remrin” ซึ่งอ้างว่าโรงพยาบาลบางแห่งเริ่มถอดยาบางตัวออก เช่น การใช้ครีมไพลแทนบาล์มแก้ปวด การใช้มะขามแขกแทนยา Bisacodyl และการใช้พญายอแทนครีม Acyclovir ข้อความดังกล่าวยังระบุว่ามีการกำหนด “KPI” ให้โรงพยาบาลเบิกจ่ายยาสมุนไพรตามเป้าหมาย หากไม่ถึงเกณฑ์อาจกระทบต่อการประเมินคุณภาพโรงพยาบาล

กระทรวงสาธารณสุขออกมาชี้แจงว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เปิดให้โรงพยาบาลสมัครใจเลือกใช้ ทว่าข้อชี้แจงไม่ได้ลบความกังวลไปทั้งหมด เพราะแพทย์และบุคลากรจำนวนหนึ่งยืนยันว่าในทางปฏิบัติ ยาแผนปัจจุบันบางตัวถูกถอดออกจริง

ภาพรวมตลาดสมุนไพรไทย 2025 ขุมทองเศรษฐกิจสุขภาพ มุ่งแตะ 1 แสนล้านในปี 2570

รัฐบาลไทยเดินหน้านโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสาธารณสุขอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพายาแผนปัจจุบันที่ต้องนำเข้ากว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า รัฐตั้งเป้าเพิ่มการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพจาก 408 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 1,500 ล้านบาทภายในสิ้นปีเดียวกัน และขยับเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 พร้อมประกาศบัญชียาสมุนไพร 32 รายการ สำหรับรักษา 10 กลุ่มโรคพบบ่อย และเปลี่ยนระบบการเบิกจ่ายเป็นแบบ “Fee Schedule” หรือการเบิกตามคอร์สการรักษา เพื่อให้เกิดการใช้จริงในวงกว้างมากขึ้น

ด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลชี้ว่ามูลค่าตลาดสมุนไพรไทยอยู่ที่ราว 40,000–50,000 ล้านบาทในปี 2025 และมีแนวโน้มแตะ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570 ปัจจุบันไทยครองอันดับหนึ่งในอาเซียน อันดับสี่ของเอเชีย และอันดับแปดของโลกในตลาดค้าปลีกสมุนไพร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านสปา ความงาม อาหารเสริม และยา อัตราการเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปีระหว่างปี 2020–2025 ถือว่าสูงกว่าการเติบโตของ GDP ประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้ส่งออกสมุนไพรอันดับหนึ่งในอาเซียน โดยมูลค่าการส่งออกช่วงปี 2019–2025 รวมกว่า 12,000 ล้านบาท สินค้าหลัก ได้แก่ วัตถุดิบสมุนไพร สารสกัด น้ำมันหอมระเหย เครื่องสำอาง และอาหารเสริม โดยมีตลาดสำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย

แรงหนุนสำคัญมาจากนโยบายรัฐที่ผลักดันสมุนไพรเป็น Soft Power ภายใต้โครงการเมืองสมุนไพรกว่า 15 จังหวัด และนโยบาย Ignite Thailand ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็น Medical & Wellness Hub ของโลก โดยการส่งเสริมสมุนไพรไทย เช่น ไพล กระชายดำ และกระท่อม เข้าสู่ตลาดโลกอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไขคือ โรงงานสมุนไพรไทยกว่า 500 แห่งจากทั้งหมดกว่า 1,000 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน GMP หรือ PIC/S เสี่ยงต่อการถูกปิดกิจการ รัฐจึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การสกัดสารสำคัญ และมาตรการตรวจสอบคุณภาพ พร้อมกับสนับสนุน SME และเปิดเวทีอย่างมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจและตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ดังนั้น แม้ตลาดสมุนไพรไทยจะเต็มไปด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสในการสร้างรายได้ระดับมหาศาล แต่การเดินหน้านโยบายต้องดำเนินควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานการผลิตและการคุ้มครองผู้บริโภค หากทำได้สำเร็จ สมุนไพรไทยจะไม่เพียงช่วยลดการนำเข้ายาและสร้างเศรษฐกิจฐานราก แต่ยังทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์แผนทางเลือกของภูมิภาคในอนาคต.

สรุปข่าว

แพทย์แผนปัจจุบันกังวลนโยบายผลักดันใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนตะวันตก แม้รัฐยืนยันไม่บังคับ แต่โรงพยาบาลบางแห่งเริ่มถอดยาหลายรายการออกแล้ว พร้อมเผยข้อเท็จจริงจากวิจัยสมุนไพรไทย

การถกเถียงครั้งใหม่ในวงการแพทย์ไทย

การถกเถียงว่าด้วย “สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน” กำลังกลายเป็นประเด็นใหญ่ในระบบสาธารณสุขไทย หลังจากกระทรวงสาธารณสุขประกาศนโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” พร้อมผลักดันบัญชียาสมุนไพรเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพ การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดประกายเสียงกังวลในหมู่แพทย์แผนปัจจุบัน นักวิชาการ และผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยว่า อาจทำให้สิทธิในการเข้าถึงยาที่เหมาะสมถูกจำกัด ขณะเดียวกัน ภาครัฐกลับมองว่านี่คือโอกาสสร้างเศรษฐกิจใหม่ ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และยกระดับสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก

จุดเริ่มต้นจากเสียงเตือนบนโซเชียลมีเดีย

ต้นเรื่องของการถกเถียงเริ่มจากโพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Remrin” ซึ่งอ้างว่าโรงพยาบาลบางแห่งเริ่มถอดยาบางตัวออก เช่น การใช้ครีมไพลแทนบาล์มแก้ปวด การใช้มะขามแขกแทนยา Bisacodyl และการใช้พญายอแทนครีม Acyclovir ข้อความดังกล่าวยังระบุว่ามีการกำหนด “KPI” ให้โรงพยาบาลเบิกจ่ายยาสมุนไพรตามเป้าหมาย หากไม่ถึงเกณฑ์อาจกระทบต่อการประเมินคุณภาพโรงพยาบาล

กระทรวงสาธารณสุขออกมาชี้แจงว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เปิดให้โรงพยาบาลสมัครใจเลือกใช้ ทว่าข้อชี้แจงไม่ได้ลบความกังวลไปทั้งหมด เพราะแพทย์และบุคลากรจำนวนหนึ่งยืนยันว่าในทางปฏิบัติ ยาแผนปัจจุบันบางตัวถูกถอดออกจริง

ภาพรวมตลาดสมุนไพรไทย 2025 ขุมทองเศรษฐกิจสุขภาพ มุ่งแตะ 1 แสนล้านในปี 2570

รัฐบาลไทยเดินหน้านโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสาธารณสุขอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพายาแผนปัจจุบันที่ต้องนำเข้ากว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า รัฐตั้งเป้าเพิ่มการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพจาก 408 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 1,500 ล้านบาทภายในสิ้นปีเดียวกัน และขยับเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 พร้อมประกาศบัญชียาสมุนไพร 32 รายการ สำหรับรักษา 10 กลุ่มโรคพบบ่อย และเปลี่ยนระบบการเบิกจ่ายเป็นแบบ “Fee Schedule” หรือการเบิกตามคอร์สการรักษา เพื่อให้เกิดการใช้จริงในวงกว้างมากขึ้น

ด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลชี้ว่ามูลค่าตลาดสมุนไพรไทยอยู่ที่ราว 40,000–50,000 ล้านบาทในปี 2025 และมีแนวโน้มแตะ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570 ปัจจุบันไทยครองอันดับหนึ่งในอาเซียน อันดับสี่ของเอเชีย และอันดับแปดของโลกในตลาดค้าปลีกสมุนไพร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านสปา ความงาม อาหารเสริม และยา อัตราการเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปีระหว่างปี 2020–2025 ถือว่าสูงกว่าการเติบโตของ GDP ประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้ส่งออกสมุนไพรอันดับหนึ่งในอาเซียน โดยมูลค่าการส่งออกช่วงปี 2019–2025 รวมกว่า 12,000 ล้านบาท สินค้าหลัก ได้แก่ วัตถุดิบสมุนไพร สารสกัด น้ำมันหอมระเหย เครื่องสำอาง และอาหารเสริม โดยมีตลาดสำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย

แรงหนุนสำคัญมาจากนโยบายรัฐที่ผลักดันสมุนไพรเป็น Soft Power ภายใต้โครงการเมืองสมุนไพรกว่า 15 จังหวัด และนโยบาย Ignite Thailand ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็น Medical & Wellness Hub ของโลก โดยการส่งเสริมสมุนไพรไทย เช่น ไพล กระชายดำ และกระท่อม เข้าสู่ตลาดโลกอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไขคือ โรงงานสมุนไพรไทยกว่า 500 แห่งจากทั้งหมดกว่า 1,000 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน GMP หรือ PIC/S เสี่ยงต่อการถูกปิดกิจการ รัฐจึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การสกัดสารสำคัญ และมาตรการตรวจสอบคุณภาพ พร้อมกับสนับสนุน SME และเปิดเวทีอย่างมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจและตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ดังนั้น แม้ตลาดสมุนไพรไทยจะเต็มไปด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสในการสร้างรายได้ระดับมหาศาล แต่การเดินหน้านโยบายต้องดำเนินควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานการผลิตและการคุ้มครองผู้บริโภค หากทำได้สำเร็จ สมุนไพรไทยจะไม่เพียงช่วยลดการนำเข้ายาและสร้างเศรษฐกิจฐานราก แต่ยังทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์แผนทางเลือกของภูมิภาคในอนาคต.

สมุนไพรแทนยาเดิม ชี้ควรเป็น “ทางเลือก” ไม่ใช่ “ข้อบังคับ”

แม้นโยบายของรัฐจะมุ่งผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็น “ขุมทองเศรษฐกิจสุขภาพ” และลดการพึ่งพาการนำเข้ายา แต่เสียงจากแพทย์แผนปัจจุบันได้ตั้งคำถามต่อความเหมาะสมในการนำไปปฏิบัติจริง หลายคนห่วงเรื่อง ความปลอดภัยของผู้ป่วย เนื่องจากสมุนไพรบางชนิดยังไม่มีหลักฐานทางคลินิกที่เข้มข้นเพียงพอ เมื่อถูกนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันโดยตรง อาจกระทบต่อคุณภาพการรักษา นอกจากนี้ แพทย์จำนวนไม่น้อยยังขาดความรู้ลึกเกี่ยวกับขนาดยา กลไกการออกฤทธิ์ และผลข้างเคียงของสมุนไพร ซึ่งต่างจากยามาตรฐานที่ผ่านการรับรองระดับสากล

อีกข้อกังวลคือ ข้อจำกัดในการเลือกวิธีรักษา กรณีบางโรงพยาบาลถอดยาแผนปัจจุบันออก และใช้ KPI กำกับการจ่ายสมุนไพรแทน ทำให้แพทย์รู้สึกว่าถูกจำกัดวิจารณญาณทางวิชาชีพ และอาจกระทบต่อสิทธิของผู้ป่วยโดยตรง ขณะเดียวกัน แม้กรมการแพทย์แผนไทยจะยืนยันว่านโยบายเป็น “ความสมัครใจ” แต่ข้อเท็จจริงในพื้นที่กลับสะท้อนว่ามีการกำหนดเป้าหมายเชิงตัวเลข ซึ่งเสี่ยงจะกลายเป็นแรงกดดันมากกว่าการให้ทางเลือก

ข้อเสนอแนะจากแพทย์แผนปัจจุบันจึงเน้นให้สมุนไพรทำหน้าที่เป็น “ทางเลือก” ไม่ใช่ “ข้อบังคับ” พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐลงทุนวิจัยทางคลินิกอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ที่มั่นคง และพัฒนาหลักสูตรอบรมแพทย์ให้มีทักษะด้านสมุนไพรที่เพียงพอ ทั้งในแง่การใช้จริงในเวชปฏิบัติ การประเมินความเสี่ยง และการสื่อสารกับผู้ป่วย เสียงเหล่านี้สะท้อนชัดว่าหากต้องการให้สมุนไพรไทยยืนอยู่บนเวทีโลกอย่างยั่งยืน การพัฒนานโยบายจำเป็นต้องเดินอย่างระมัดระวัง ควบคู่กับการคงไว้ซึ่งสิทธิของผู้ป่วยและมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์

สมุนไพรแทนยาเดิม? มุมมองผู้ป่วยระหว่างโอกาสเศรษฐกิจกับสิทธิการรักษา

เสียงสะท้อนจากผู้ป่วยต่อประเด็น “สมุนไพรแทนยาเดิม” สะท้อนภาพที่ซับซ้อน บางส่วนยอมรับว่าสมุนไพรมีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะในโรคเรื้อรังและการบำบัดระยะยาว แต่ก็ยอมรับว่าผลลัพธ์มักเห็นช้ากว่ายาแผนปัจจุบัน หลายคนจึงเลือกใช้สมุนไพรควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ ขณะเดียวกันผู้ป่วยอีกจำนวนไม่น้อยยังคงกังวลเรื่องข้อมูลไม่เพียงพอ ความต่อเนื่องของการใช้ และความชัดเจนด้านขนาดยาที่ต้องอาศัยคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรโดยตรง

ในอีกมิติ สิทธิผู้ป่วยถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก หลายรายเห็นว่าหากสมุนไพรยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้ป่วยควรมีสิทธิเรียกร้องให้เข้าถึงยาเดิมที่มีประสิทธิผลพิสูจน์แล้ว การ “บังคับจ่ายสมุนไพร” โดยการถอดยามาตรฐานออกจากระบบโรงพยาบาลถูกมองว่าเป็นการกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ป่วยอย่างชัดเจน ข้อเสนอที่เกิดขึ้นจึงคือการยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ให้ข้อมูลโปร่งใส และเปิดทางให้สมุนไพรเป็น “ทางเลือก” มากกว่าข้อบังคับ เพื่อให้ระบบสุขภาพก้าวไปอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจและคุณภาพการรักษา.

“อาหารคือยา” มิติรอบด้านจากแนวคิดของ พญ.ชนิดา สยุมภูรุจินันท์

แนวคิดของ พญ.ชนิดา สยุมภูรุจินันท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้สัมภาษณ์กับ TNN เรื่องสมุนไพรไทยในฐานะ “อาหารคือยา” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการนำสมุนไพรมาแทนที่ยาแผนปัจจุบัน แต่คือการวางระบบสุขภาพที่เชื่อมโยงอาหาร การพึ่งตนเอง และเศรษฐกิจชุมชนเข้าด้วยกัน ประเด็นนี้จึงเป็นทั้งการแพทย์ การวิจัย และการพัฒนาสังคม


สมุนไพรคือการป้องกันโรค ไม่ใช่การตัดสิทธิ

พญ.ชนิดายืนยันว่า สมุนไพรควรถูกใช้เป็น “การป้องกันโรค” มากกว่าการบังคับให้ผู้ป่วยใช้แทนยาเดิม ข้อความนี้สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและการเคารพสิทธิผู้ป่วย การใช้สมุนไพรในอาหาร เช่น แกงส้มที่มีขมิ้นชันและมะขาม ไม่เพียงให้รสชาติ แต่ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ พร้อมงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าขมิ้นชันช่วยเสริมสุขภาพปอดในผู้สูงอายุ นี่คือตัวอย่างชัดเจนว่าการผสมผสานสมุนไพรกับอาหารประจำวันคือการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน แต่ไม่ควรเป็นข้ออ้างในการตัดยาที่จำเป็นออกจากระบบโรงพยาบาล

อภัยภูเบศรสร้างฐานข้อมูลสมุนไพรโดยรวบรวมตำรับจากหมอพื้นบ้าน แล้วผ่านกระบวนการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เช่น การหาปริมาณสารออกฤทธิ์ ความคงตัว และประสิทธิผลในการรักษา ตัวอย่างเช่น อัญชัน ที่เดิมใช้เพียงย้อมสีข้าวเหนียว กลายเป็นพืชสมุนไพรที่มีสาร anthocyanins สูงกว่าผลไม้เบอร์รี่ และถูกวิจัยว่ามีผลดีต่อหัวใจและหลอดเลือด ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เช่น มหิดลและขอนแก่น ช่วยต่อยอดจากภูมิปัญญาสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้มาตรฐานทั้งในและต่างประเทศ

หัวใจสำคัญของการพัฒนาสมุนไพรคือเกษตรอินทรีย์ การผลิตที่ปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจ แต่ยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรในชุมชน การคัดเลือกวัตถุดิบที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมีหรือโลหะหนัก และการควบคุมคุณภาพทุกล็อตคือมาตรการที่อภัยภูเบศรใช้จริง งานวิจัยในระดับ RCT และ meta-analysis ถูกนำมาใช้ยืนยันว่า สมุนไพรที่ผลิตด้วยมาตรฐานอินทรีย์สามารถใช้ในเชิงป้องกันและรักษาได้อย่างปลอดภัย

แนวทาง “อาหารคือยา” ยังถูกนำไปขยายในมิติอาหารไทยที่มีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชันในแกงเหลือง มะขามในต้มยำ หรืออัญชันในเครื่องดื่ม งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนว่าการบริโภคสมุนไพรพื้นบ้านเหล่านี้ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีผลต่อสุขภาพจิต ลดความเครียด และเสริมภูมิคุ้มกัน

พญ.ชนิดามองว่าสมุนไพรไทยไม่ใช่เพียงการแพทย์ แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เมื่อผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพสูงสามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้จริง เกษตรกรและผู้ประกอบการจะมีรายได้เพิ่ม ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็ลดการนำเข้ายาแผนปัจจุบันที่มีมูลค่ามหาศาลทุกปีได้ การพัฒนาเช่นนี้จึงเป็นทั้งการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพและการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศ

งานวิจัยที่ยืนยันประสิทธิภาพสมุนไพร

ขมิ้นชัน

งานวิจัยจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรพบว่า ขมิ้นชันช่วยบรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหารและท้องอืดได้อย่างมีนัยสำคัญ เทียบเท่ายา Omeprazole และ Simeticone โดยผู้ป่วยที่รับประทานแคปซูลขมิ้นชันวันละ 2 ครั้งมีอาการปวดท้องลดลงภายใน 4 สัปดาห์

ฟ้าทะลายโจร

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ฟ้าทะลายโจรถูกใช้ในงานวิจัยแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) พบว่ามีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาของอาการหวัดและอาการเจ็บคอ ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่าฟ้าทะลายโจรช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสียในผู้ใหญ่ได้ด้วย

เพชรสังฆาต

การศึกษาเปรียบเทียบการใช้เพชรสังฆาตกับยากลุ่ม Daflon® ในผู้ป่วยริดสีดวงทวาร พบว่าผู้ใช้เพชรสังฆาต 98% รายงานว่าพึงพอใจต่อผลการรักษา อาการปวดและเลือดออกลดลงไม่ต่างจากกลุ่มที่ใช้ยาแผนปัจจุบัน

พญายอ

สารสำคัญในพญายอมีฤทธิ์ต้านไวรัส Herpes simplex โดยงานวิจัยยืนยันว่าสามารถใช้แทนครีม Acyclovir ได้ในกรณีแผลเริมตื้น และช่วยบรรเทาอาการคันจากผื่นผิวหนัง

มะขามแขก

สาร Sennoside B ในน้ำคั้นจากมะขามแขกทำงานคล้ายกับยา Bisacodyl ในการกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ แต่มีข้อควรระวังหากใช้ในปริมาณมากหรือใช้ต่อเนื่อง อาจทำให้ลำไส้ชินยาและเกิดอาการขาดน้ำ

งานวิจัยเหล่านี้สร้างความมั่นใจว่าสมุนไพรหลายชนิดสามารถใช้แทนยาแผนปัจจุบันได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำว่าต้องมีการกำหนดขนาดที่เหมาะสม และการใช้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์



ความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพ

แม้งานวิจัยจะยืนยันประสิทธิภาพของสมุนไพรหลายชนิด แต่ก็ยังมีรายงานการปนเปื้อนโลหะหนักและเชื้อจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์สมุนไพรบางชนิด ตัวเลขชี้ว่า ยาสมุนไพร 156 ตัวอย่าง มีการปนเปื้อนโลหะหนักเกินมาตรฐาน 3.8% และเชื้อจุลินทรีย์สูงเกินเกณฑ์ 25.9% ปัญหานี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการยกระดับมาตรฐานการผลิต เช่น GMP และ Thai Herbal Pharmacopoeia ให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยกลายเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความเชื่อมั่น

สิทธิผู้ป่วยกับการเข้าถึงทางเลือกการรักษา

ตามหลักสิทธิขั้นพื้นฐาน ผู้ป่วยควรได้รับข้อมูลที่เพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจและมีสิทธิเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดต่อภาวะสุขภาพของตนเอง 

อย่างไรก็ตาม หากโรงพยาบาลไม่มีการจัดหายาแผนปัจจุบันบางตัวไว้ในระบบ ผู้ป่วยอาจถูกบังคับทางอ้อมให้ใช้สมุนไพรแทน หรืออาจต้องจ่ายเงินซื้อยาด้วยตนเอง ซึ่งนำไปสู่ภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและเพิ่มความเหลื่อมล้ำด้านการรักษา ผลการศึกษายังระบุว่าผู้สูงอายุร้อยละ 79 ใช้สมุนไพรโดยไม่เข้าใจวิธีใช้อย่างถูกต้อง และร้อยละ 63 ไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ปัญหาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ข้อมูลและระบบกำกับดูแลที่รัดกุมมากขึ้น

แม้กรมการแพทย์แผนไทยยืนยันว่านโยบายส่งเสริมสมุนไพรเป็นเพียง “ความสมัครใจ” ของโรงพยาบาล แต่ข้อเท็จจริงจากหลายพื้นที่สะท้อนว่ามีการถอดยาเดิมออกจากระบบและมีการกำหนด KPI เพื่อผลักดันการจ่ายสมุนไพรจริง 

ขณะเดียวกัน มาตรการให้เงินรางวัลกว่า 60 ล้านบาทแก่โรงพยาบาลที่สามารถใช้สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบันได้เต็มสัดส่วน ก็ถูกวิพากษ์ว่าอาจกลายเป็นแรงจูงใจที่มุ่งเน้นตัวเลขมากกว่าการคำนึงถึงสิทธิและคุณภาพการรักษาของผู้ป่วยอย่างแท้จริง.

'ทางออก' การบูรณาการมากกว่าการบังคับ

แนวทางที่นักวิชาการเสนอคือการสร้าง “สมดุล” สมุนไพรควรถูกใช้เป็นทางเลือกที่เสริม ไม่ใช่ทางเลือกเดียว ต้องมีการพัฒนาหลักสูตรอบรมแพทย์ให้มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร รวมทั้งจัดทำคู่มือ Clinical Practice Guideline สำหรับโรคที่สมุนไพรมีหลักฐานชัดเจน เพื่อให้แพทย์สั่งจ่ายได้อย่างมั่นใจ

นอกจากนี้ การสร้างระบบรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้สมุนไพรเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเก็บข้อมูลและปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยในระยะยาว

ยกระดับหมอพื้นบ้าน สู่บทบาทผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรที่สังคมเชื่อมั่น

ดร.กรรญดา ณ หนองคาย ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ความงามแผนไทย อธิบายว่า บทบาทของหมอสมุนไพรไทยหรือหมอพื้นบ้านในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากที่เคยถูกมองเพียงในฐานะผู้สืบทอดภูมิปัญญาชุมชน ปัจจุบันสังคมและวงการแพทย์คาดหวังให้หมอสมุนไพรยืนอยู่บนมาตรฐานที่ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือทั้งด้านคุณภาพการรักษาและความปลอดภัยของผู้ป่วย

ดร.กรรญดา ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้วางเกณฑ์รับรองหมอพื้นบ้านอย่างชัดเจน โดยผู้ที่จะได้รับการรับรองต้องมีประสบการณ์จริงในชุมชนไม่น้อยกว่า 10 ปี เป็นที่ยอมรับของคนในท้องถิ่น และผ่านการคัดกรองจากคณะกรรมการหมู่บ้านหรือองค์กรชุมชน รวมถึงต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และองค์ความรู้ด้านสมุนไพรที่สืบทอดมาอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผู้แอบอ้างที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน

นอกจากระบบรับรองแล้ว ดร.กรรญดา เน้นว่าหมอสมุนไพรจำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวทันวิชาการสมัยใหม่ ทั้งการเรียนรู้วิธีบันทึกตำรับยาอย่างมีมาตรฐาน การติดตามงานวิจัยล่าสุด และการเข้าร่วมอบรมกับหน่วยงานรัฐหรือสถาบันการแพทย์ ปัจจุบันหมอสมุนไพรจำนวนไม่น้อยได้รับใบรับรองการอบรมอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความเชื่อมั่นจากสังคม แต่ยังช่วยให้สามารถทำงานเชื่อมโยงกับระบบสาธารณสุขได้อย่างใกล้ชิด

ดร.กรรญดา ย้ำด้วยว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้หมอสมุนไพรไม่หยุดอยู่ที่การรักษาตามภูมิปัญญา แต่ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีมาตรฐาน การแสดงใบรับรอง การบันทึกตำรับอย่างเป็นระบบ และการผลักดันให้สมุนไพรผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ คือกุญแจสำคัญที่จะยกระดับภาพลักษณ์ของวงการสมุนไพรไทย ลดปัญหาหมอเถื่อน และสร้างการยอมรับทั้งในประเทศและระดับสากลอย่างมั่นคง

สมุนไพรคือโอกาส หากไม่ทับสิทธิคนไข้

สมุนไพรไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากภูมิปัญญาพื้นบ้านสู่ระบบวิชาการที่มีงานวิจัยและมาตรฐานรองรับ หากนำมาใช้อย่างเหมาะสม ย่อมช่วยลดการพึ่งพายานำเข้า สร้างเศรษฐกิจฐานราก และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางด้านสุขภาพในระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคง แต่การขับเคลื่อนต้องดำเนินควบคู่กับการยกระดับคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สิทธิของผู้ป่วยยังคงเป็นหัวใจสำคัญ การใช้สมุนไพรไม่ควรถูกทำให้เป็นข้อบังคับหรือกลายเป็นการปิดกั้นทางเลือกทางการแพทย์ นโยบายจึงจำเป็นต้องเดินอย่างระมัดระวัง โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย และผู้ป่วย เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการรักษามาตรฐานสาธารณสุข คำถามที่สังคมไทยต้องตอบให้ได้คือ สมุนไพรจะเป็น “ทางเลือก” ที่เกื้อหนุน หรือกลายเป็น “ข้อบังคับ” ที่กระทบต่อสิทธิของผู้ป่วยในอนาคต

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : Freepik

บรรณาธิการออนไลน์