
“สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน?” เสียงสะท้อนจากด่านหน้าและข้อเท็จจริงจากงานวิจัย
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โลกออนไลน์และแวดวงการแพทย์แผนปัจจุบันในไทยเกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน เมื่อมีการเปิดเผยว่ามีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มโรคทั่วไป ส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่แพทย์แผนปัจจุบันจำนวนหนึ่งว่า อาจเป็นการจำกัดทางเลือกในการรักษาผู้ป่วย และบั่นทอนมาตรฐานการรักษาที่ควรอยู่บนพื้นฐานความรู้และความชำนาญเฉพาะทาง
สรุปข่าว
“สมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน?” เสียงสะท้อนจากด่านหน้าและข้อเท็จจริงจากงานวิจัย
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โลกออนไลน์และแวดวงการแพทย์แผนปัจจุบันในไทยเกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน เมื่อมีการเปิดเผยว่ามีนโยบายส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มโรคทั่วไป ส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่แพทย์แผนปัจจุบันจำนวนหนึ่งว่า อาจเป็นการจำกัดทางเลือกในการรักษาผู้ป่วย และบั่นทอนมาตรฐานการรักษาที่ควรอยู่บนพื้นฐานความรู้และความชำนาญเฉพาะทาง
ความเคลื่อนไหวที่จุดกระแส โพสต์เตือนภัยจากบุคลากรในแวดวง
ต้นเรื่องเริ่มต้นจากโพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Remrin ซึ่งอ้างว่าโรงพยาบาลบางแห่งเริ่ม “ถอด” ยาแผนปัจจุบันบางรายการ และ “บังคับ” ให้ใช้ยาสมุนไพรในโรคบางกลุ่มแทน เช่น การใช้ครีมไพลแทนยานวดกลุ่มบาล์ม การใช้มะขามแขกแทนยา Bisacodyl หรือการใช้พญายอแทนครีม Acyclovir โดยโพสต์ดังกล่าวชี้ว่า มีการกำหนด “ตัวชี้วัด” ให้โรงพยาบาลต้องเบิกจ่ายยาสมุนไพรตามเป้าหมาย ซึ่งหากไม่บรรลุเป้าอาจกระทบต่อการประเมินคุณภาพ
แม้จะมีคำชี้แจงภายหลังจากกระทรวงสาธารณสุขว่า “ไม่ได้บังคับ” และเป็นความสมัครใจของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่อาจหยุดความกังวลของแพทย์บางส่วนได้
นโยบายจากรัฐ ยาไทยลดนำเข้า เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้ายาแผนตะวันตกที่มีมูลค่าสูงกว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มากขึ้น
โดยตั้งเป้าเพิ่มการใช้ยาสมุนไพรจาก 408 ล้านบาทในปีปัจจุบัน เป็น 1,500 ล้านบาทภายในปี 2568 และไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทในปี 2569 พร้อมประกาศ “บัญชียาสมุนไพร 32 รายการ” สำหรับรักษาใน 10 กลุ่มโรคพบบ่อย ซึ่งจะอยู่ในระบบ Fee Schedule หรือการเบิกจ่ายตามคอร์สการรักษา แทนระบบเดิมที่เบิกเป็นรายตัว
นโยบายดังกล่าวถูกวางรากฐานเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรสมุนไพร ยกระดับภูมิปัญญาไทย และผลักดันเศรษฐกิจสมุนไพรให้เป็นอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ในระดับประเทศและนานาชาติ
ข้อมูลจากวิจัย สมุนไพรบางตัว "ใช้แทนได้" อย่างมีหลักฐาน
จากเอกสารของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และ ภญ.ผกากรอง ชวัญข้าว ศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านสมุนไพร พบว่ายาหลายรายการผ่านการวิจัยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน และมีประสิทธิภาพเทียบเคียง เช่น:
- ขมิ้นชัน ใช้แทนยาในกลุ่มรักษาโรคกระเพาะและท้องอืด เช่น Omeprazole, Simeticone
- ฟ้าทะลายโจร บรรเทาหวัดและท้องเสีย มีงานวิจัยรองรับ และปรากฏอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
- เพชรสังฆาต ใช้แทน Daflon® ในการรักษาริดสีดวง มีรายงานผลการใช้จริงที่ผู้ป่วยพึงพอใจถึง 98%
- พญายอ ใช้ทาแผลจากเริม แผลในปาก หรือผื่นคัน แทน Acyclovir หรือ steroid cream
- มะขามแขก มีสารสำคัญ (sennoside B) ใช้แทนยาระบายได้ โดยมีข้อควรระวังด้านปริมาณและการใช้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ยาบางตัวแม้จะมีศักยภาพสูง เช่น ขิงหรือขมิ้น แต่ก็มีข้อควรระวังเรื่องผลข้างเคียง หรือข้อห้ามใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ป่วยนิ่วในถุงน้ำดี
ทางออกคือ “ความร่วมมือ ไม่ใช่ความขัดแย้ง”
จากข้อมูลในเอกสารของโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ยืนยันว่า ยาสมุนไพรที่ผลิตผ่านระบบ GMP, GLP, GCP มีการวิเคราะห์สารออกฤทธิ์ ปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์และโลหะหนัก และมีแนวทางบูรณาการร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่การเปลี่ยนผ่านควรอยู่บนพื้นฐาน “การให้ทางเลือก” มากกว่า “การตัดทางเลือก”
สมุนไพรคือทางเลือกที่ดี – แต่ไม่ควรเป็นทางเลือกเดียว
ยาสมุนไพรในวันนี้ไม่ใช่ “ของพื้นบ้าน” ที่ไม่มีการควบคุมอีกต่อไป แต่ได้พัฒนาเข้าสู่ระบบวิชาการที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง อย่างไรก็ตาม การนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันต้องอยู่ภายใต้การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ และไม่ควรลดทางเลือกของแพทย์และผู้ป่วยลง
เมื่อปลายทางของการรักษาคือ “ผู้ป่วย” ไม่ใช่ตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือเป้าหมายงบประมาณ เราจึงควรเดินหน้าอย่างระมัดระวัง เปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญจากทุกศาสตร์ร่วมตัดสินใจ บนพื้นฐานของข้อมูล ไม่ใช่เพียงนโยบาย
บรรณาธิการออนไลน์