5 ปี ตำรวจไทยฆ่าตัวตาย 173 นาย วิกฤตสอบสวนซ้ำเติมปัญหาซึมเศร้า

5 ปี ตำรวจไทยฆ่าตัวตาย 173 นาย วิกฤตสอบสวนซ้ำเติมปัญหาซึมเศร้า

ตำรวจซึมเศร้าเพิ่มหลักหมื่นต่อปี สัญญาณวิกฤตที่โครงสร้างสอบสวนต้องเร่งเปลี่ยน

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ระบบราชการตำรวจไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่ซับซ้อนเกินกว่าจะจัดการด้วยคำสั่งหรือนโยบายเฉพาะหน้า เพราะสิ่งที่เริ่มปรากฏขึ้นชัดเจน คือจำนวนเจ้าหน้าที่ที่เข้าสู่ภาวะซึมเศร้า เครียดรุนแรง หรือแม้แต่สูญเสียชีวิตจากภาวะวิกฤตทางจิตใจ สะสมมากขึ้นทุกปี

ข้อมูลจากสำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ระหว่างปีงบประมาณ 2562–2567 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตจากภาวะรุนแรงรวม 173 ราย โดยปีที่หนักที่สุดคือ พ.ศ. 2565 มีจำนวนสูงถึง 44 ราย และแม้ในปี 2567 ที่เพิ่งเริ่มต้น ก็มีรายงานแล้ว 2 ราย ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 

สรุปข่าว

ข้อมูลจาก รพ.ตำรวจเผย 5 ปีที่ผ่านมา มีตำรวจฆ่าตัวตาย 173 ราย หลายคนมีภาวะซึมเศร้า เครียดสะสมจากงานสอบสวน ผบ.ตร.เร่งปรับโครงสร้าง-เพิ่มตำแหน่งควบ พร้อมตั้งคณะทำงานดูแลสุขภาพจิต-อาชีพสายสอบสวนระยะยาว

ตำรวจซึมเศร้าเพิ่มหลักหมื่นต่อปี สัญญาณวิกฤตที่โครงสร้างสอบสวนต้องเร่งเปลี่ยน

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ระบบราชการตำรวจไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่ซับซ้อนเกินกว่าจะจัดการด้วยคำสั่งหรือนโยบายเฉพาะหน้า เพราะสิ่งที่เริ่มปรากฏขึ้นชัดเจน คือจำนวนเจ้าหน้าที่ที่เข้าสู่ภาวะซึมเศร้า เครียดรุนแรง หรือแม้แต่สูญเสียชีวิตจากภาวะวิกฤตทางจิตใจ สะสมมากขึ้นทุกปี

ข้อมูลจากสำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ระหว่างปีงบประมาณ 2562–2567 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตจากภาวะรุนแรงรวม 173 ราย โดยปีที่หนักที่สุดคือ พ.ศ. 2565 มีจำนวนสูงถึง 44 ราย และแม้ในปี 2567 ที่เพิ่งเริ่มต้น ก็มีรายงานแล้ว 2 ราย ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 

ซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เมื่อระบบไม่รองรับ

ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากโครงการ “Depress We Care ซึมเศร้าเราใส่ใจ” ของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นช่องทางให้คำปรึกษาด้านจิตใจแก่เจ้าหน้าที่ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป เผยสถิติที่น่าตกใจไม่แพ้กัน

ระหว่างปี 2561–2567 มีผู้ขอรับบริการรวมแล้ว 8,713 ครั้ง โดยในปีที่วิกฤตหนักที่สุดคือ ปี 2564 มีการให้บริการมากถึง 2,127 ครั้ง สะท้อนแรงกดดันสะสมจากทั้งงาน การระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ โดยช่องทางสายด่วนได้รับการใช้งานสูงถึง 6,280 ครั้ง ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

แม้ประชาชนทั่วไปจะเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการมากที่สุด แต่ตัวเลขของข้าราชการตำรวจและครอบครัวก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีตำรวจใช้บริการผ่าน Inbox มากถึง 61 ครั้ง และโทรศัพท์สายด่วนอีก 82 ครั้ง

“หัวใจสำคัญของงานยุติธรรม” กับภาระที่ล้นมือ

ภารกิจของพนักงานสอบสวนไม่ใช่เพียงการสอบสวนคดีเพื่อส่งฟ้อง แต่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด หากการสอบสวนไร้คุณภาพ หรือเกิดความล่าช้าเพราะขาดแคลนบุคลากร ย่อมกระทบสิทธิของทั้งผู้ต้องหาและผู้เสียหาย รวมถึงทำให้กระบวนการยุติธรรมโดยรวมไร้ความเชื่อมั่น

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จึงเน้นย้ำในการประชุมผู้บัญชาการระดับสูงว่า สถานการณ์ภาระงานของพนักงานสอบสวนในบางพื้นที่อยู่ในขั้น "เกินขีดความสามารถของมนุษย์จะรับไหว" โดยเฉพาะในโรงพักขนาดใหญ่ที่ประชากรหนาแน่นและมีคดีจำนวนมาก เช่น กรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือหัวเมืองใหญ่บางจังหวัด ซึ่งเจ้าหน้าที่หนึ่งนายอาจต้องรับผิดชอบคดีมากกว่า 100 เรื่องต่อปี

ขณะที่โรงพักขนาดเล็กในบางพื้นที่ยังมีอัตรางานต่ำ ทำให้เกิดความไม่สมดุลในระบบ ผบ.ตร. จึงกำชับให้ผู้บังคับบัญชาในทุกระดับเร่ง “สำรวจสถานการณ์จริง” และไม่พึ่งเพียงรายงานจากสำนักงานส่วนกลาง พร้อมกันนั้น ยังต้องมีมาตรการปรับเกลี่ยกำลังพลแบบยืดหยุ่น เพื่อให้โรงพักที่มีภาระงานหนักได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม

ปรับโครงสร้างจากในสู่ราก “ตำแหน่งควบ” และ “ตำแหน่งเลื่อนไหล”

หนึ่งในข้อวิจารณ์ที่สะสมมายาวนานในสายงานสอบสวน คือการเป็น “สายตัน” ที่แม้มีประสบการณ์มากเพียงใด ก็ยากที่จะเติบโตในสายงานโดยไม่เปลี่ยนตำแหน่งหรือโยกย้ายไปสายนิติกร หรือสายบริหารอื่น ทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมให้เติบโตอย่างมั่นคงในบทบาทเดิม

แนวทางที่ ผบ.ตร. เร่งผลักดันขณะนี้ คือการกำหนด “ตำแหน่งควบ” ที่ให้ข้าราชการตำรวจสามารถดำรงตำแหน่งที่มีความก้าวหน้าในระดับที่สูงขึ้นได้โดยยังปฏิบัติงานในสายสอบสวน เช่น จากพนักงานสอบสวนชำนาญการ ไปสู่ระดับบริหารในสายงานสอบสวน โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปสายงานอื่น

นอกจากนี้ยังมีแนวทาง “ตำแหน่งเลื่อนไหล” ซึ่งให้ความยืดหยุ่นกับเจ้าหน้าที่ในการย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งภายในสายงานได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกแบบข้ามสาย ซึ่งใช้เวลานานและมีอุปสรรคเชิงระบบ

คณะทำงานเฉพาะกิจ ปรับระบบสอบสวนทั้งโครงสร้าง

เพื่อไม่ให้เป็นเพียงแนวคิด ผบ.ตร. ได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาศึกษาและออกแบบโครงสร้างใหม่ในสายงานสอบสวนโดยตรง โดยมีโจทย์สำคัญคือ

  • การประเมินภาระงานที่แท้จริง (ไม่ใช่แค่จำนวนคดี แต่รวมความซับซ้อนของคดี)
  • แนวทางกำหนดอัตรากำลังที่เป็นธรรมและยืดหยุ่น
  • เส้นทางความก้าวหน้าในสายสอบสวนที่มีความชัดเจนและยั่งยืน
  • ระบบสร้างแรงจูงใจในหน้าที่ เช่น เบี้ยเสี่ยงภัย ค่าตอบแทนจูงใจเฉพาะตำแหน่ง

ผบ.ตร. ยังยืนยันด้วยว่า “การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องไม่ใช่เพียงแค่โยกย้ายหรือบรรจุเพิ่ม แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องงานสอบสวนให้เป็นสายงานเชิงยุทธศาสตร์” เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรมที่ดี และเป็นภาพสะท้อนศักยภาพของตำรวจไทยทั้งระบบ

ซึมเศร้าคือปัญหาระดับระบบ ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง

ตัวเลข 173 รายใน 5 ปี อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่ลึกกว่า การที่เจ้าหน้าที่จำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพจิตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่องค์กรต้องจัดการโดยเร็ว

การปรับโครงสร้างสอบสวนใหม่จึงไม่ใช่แค่เรื่องตำแหน่งหรือจำนวนคน แต่คือการลงทุนใน “คุณภาพชีวิตของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ซึ่งเป็นเสาหลักของความยุติธรรมทั้งระบบ

บรรณาธิการออนไลน์