ศาลอนุมัติหมายจับ 17 ราย คดีตึก สตง.ถล่ม รื้อความรับผิดระบบก่อสร้างรัฐ

ศาลอนุมัติหมายจับ 17 ราย คดีตึก สตง.ถล่ม รื้อความรับผิดระบบก่อสร้างรัฐ

การพิจารณาคดีที่สังคมจับตา

การถล่มของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเพิ่งก่อสร้างเสร็จไม่นาน ไม่เพียงส่งแรงสั่นสะเทือนทางกายภาพ แต่ยังเปิดประตูสู่กระบวนการสอบสวนทางอาญาที่อาจเขย่ารากฐานระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หลังการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง ศาลมีคำสั่งอนุมัติหมายจับผู้ต้องสงสัย 17 ราย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ บริษัทผู้รับเหมาร่วมค้า วิศวกรผู้ออกแบบ และผู้ควบคุมงานก่อสร้าง

คำสั่งศาลครั้งนี้นับเป็นพัฒนาการสำคัญของคดีที่สังคมจับตามอง และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนมาตรฐานงานก่อสร้างในหน่วยงานรัฐ

ขอบเขตของพยานหลักฐาน

คดีนี้มีมูลเหตุจากข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง ซึ่งเกี่ยวโยงถึงการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง อาคารดังกล่าวอยู่ระหว่างเตรียมเปิดใช้งานเมื่อเกิดเหตุพังถล่มลงมาอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ตำรวจนครบาลตั้งทีมสอบสวนพิเศษเพื่อคลี่คลายสาเหตุ

พยานหลักฐานที่ใช้ประกอบสำนวนครอบคลุมทั้งพยานแวดล้อม พยานเอกสาร และพยานวัตถุ ได้แก่ สัญญาว่าจ้าง TOR ผลการตรวจสอบวัสดุก่อสร้างกว่า 300 ชิ้น ผลการวิเคราะห์จากสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงผลตรวจลายเซ็นจากกองพิสูจน์หลักฐาน

สรุปข่าว

ศาลมีคำสั่งอนุมัติหมายจับ 17 รายในคดีอาคาร สตง. ถล่ม ครอบคลุมกลุ่มวิศวกร ผู้ควบคุมงาน และผู้รับเหมา หลังพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจำนวนมาก คดีนี้อาจนำไปสู่การรื้อระบบการก่อสร้างภาครัฐในระดับโครงสร้าง

การพิจารณาคดีที่สังคมจับตา

การถล่มของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเพิ่งก่อสร้างเสร็จไม่นาน ไม่เพียงส่งแรงสั่นสะเทือนทางกายภาพ แต่ยังเปิดประตูสู่กระบวนการสอบสวนทางอาญาที่อาจเขย่ารากฐานระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หลังการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง ศาลมีคำสั่งอนุมัติหมายจับผู้ต้องสงสัย 17 ราย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ บริษัทผู้รับเหมาร่วมค้า วิศวกรผู้ออกแบบ และผู้ควบคุมงานก่อสร้าง

คำสั่งศาลครั้งนี้นับเป็นพัฒนาการสำคัญของคดีที่สังคมจับตามอง และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนมาตรฐานงานก่อสร้างในหน่วยงานรัฐ

ขอบเขตของพยานหลักฐาน

คดีนี้มีมูลเหตุจากข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง ซึ่งเกี่ยวโยงถึงการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง อาคารดังกล่าวอยู่ระหว่างเตรียมเปิดใช้งานเมื่อเกิดเหตุพังถล่มลงมาอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ตำรวจนครบาลตั้งทีมสอบสวนพิเศษเพื่อคลี่คลายสาเหตุ

พยานหลักฐานที่ใช้ประกอบสำนวนครอบคลุมทั้งพยานแวดล้อม พยานเอกสาร และพยานวัตถุ ได้แก่ สัญญาว่าจ้าง TOR ผลการตรวจสอบวัสดุก่อสร้างกว่า 300 ชิ้น ผลการวิเคราะห์จากสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงผลตรวจลายเซ็นจากกองพิสูจน์หลักฐาน

โครงสร้างผู้ต้องสงสัย

หลังการตรวจสอบเบื้องต้น พนักงานสอบสวนสรุปว่ามีผู้เกี่ยวข้องที่อาจกระทำผิดรวม 17 ราย ซึ่งศาลได้ออกหมายจับตามข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238 ฐานกระทำผิดในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพด้านวิศวกรรม หากการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

สามกลุ่มหลักที่ถูกดำเนินคดี ได้แก่

 1. บริษัทกิจการร่วมค้าที่รับงานก่อสร้าง

 2. ผู้ควบคุมงานก่อสร้างภาคสนาม

 3. วิศวกรผู้ออกแบบและแก้ไขแบบ

การสอบสวนยังไม่จบ

แม้ศาลจะอนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องล็อตแรก แต่มีรายงานว่าการสอบสวนยังดำเนินต่อไป โดยคาดว่าจะมีการขอออกหมายจับเพิ่มเติมกับข้าราชการที่มีบทบาทในการอนุมัติแบบและการจัดซื้อจัดจ้าง โครงสร้างการดำเนินคดีจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคเอกชน หากแต่เริ่มไล่ลำดับสู่ระบบราชการที่เกี่ยวข้อง

บททดสอบความโปร่งใส

ความรุนแรงของคดีนี้ไม่เพียงอยู่ที่การถล่มของสิ่งปลูกสร้าง แต่ยังอยู่ที่ภาพสะท้อนความเปราะบางของมาตรการควบคุมงานภาครัฐ หน่วยงานที่ควรเป็นต้นแบบความโปร่งใสกลับกลายเป็นเหยื่อของความหละหลวมในทุกขั้นตอน คดีนี้จึงเป็นทั้งคดีอาญาและบทเรียนโครงสร้างที่สะท้อนความจำเป็นของการปฏิรูประบบก่อสร้างภาครัฐโดยเร่งด่วน

บทสรุปของสถานการณ์

คำสั่งศาลที่ออกหมายจับ 17 รายในคดีอาคาร สตง.ถล่ม เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเอาผิดที่อาจลากยาวไปถึงบุคคลในระบบราชการ หากศาลตัดสินว่าการออกแบบและควบคุมงานไม่เป็นไปตามหลักวิชาชีพ จนทำให้เกิดความเสียหายถึงชีวิตและทรัพย์สิน รัฐจะต้องตอบคำถามจากสาธารณชนว่าระบบจัดซื้อจัดจ้างและการตรวจสอบทางวิศวกรรมในปัจจุบันเพียงพอหรือไม่

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : กทม.

บรรณาธิการออนไลน์