ทำไม? คนรุ่นใหม่ถึงลาออกจากราชการ ทั้งที่สอบเข้ายากและมั่นคง?

ทำไม? คนรุ่นใหม่ถึงลาออกจากราชการ ทั้งที่สอบเข้ายากและมั่นคง?

แม้สอบเข้าราชการจะยาก แต่ปี 2566 กลับมีคนรุ่นใหม่ลาออกกว่า 7,000 คน ตัวเลขนี้กำลังชี้ถึงปัญหาโครงสร้างในระบบที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่

ทำไมคนรุ่นใหม่ลาออกจากราชการ ทั้งที่มั่นคงและสอบเข้ายาก

โพสต์ของอดีตปลัดอำเภอรุ่น 2565 ที่เล่าถึงการตัดสินใจลาออกจากระบบราชการหลังทำงานเกือบสองปี กำลังถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ความจริงที่ว่าเขารู้ตัวตั้งแต่ 2 เดือนแรกว่า "นี่ไม่ใช่ที่ของเรา" ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบที่เคยถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง

เรื่องราวนี้ไม่ใช่เพียงกรณีเฉพาะ เมื่อข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในปีงบประมาณ 2566 เผยว่า ข้าราชการในห้ากระทรวงหลักลาออกจากระบบมากกว่า 7,000 คน จากจำนวนการสูญเสียทั้งหมดกว่า 15,000 คน เฉพาะกระทรวงสาธารณสุขเพียงแห่งเดียวมีผู้ลาออก 5,268 คน ซึ่งมากกว่าผู้เกษียณอายุในกระทรวงเดียวกันเกือบ 40%

ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงเป็นสถิติทางราชการ แต่กำลังเปิดเผยปรากฏการณ์ใหม่ที่ท้าทายความเข้าใจดั้งเดิมเกี่ยวกับงานราชการในสังคมไทย คำถามที่เกิดขึ้นคือ เหตุใดคนที่ผ่านการแข่งขันสูงและได้งานที่มั่นคงที่สุดในประเทศ จึงเลือกที่จะออกจากระบบ

สรุปข่าว

ปีงบฯ 2566 มีข้าราชการลาออกกว่า 7,000 คน จาก 5 กระทรวงหลัก โดยกระทรวงสาธารณสุขและมหาดไทยสูงสุด ชี้ระบบที่แข็งตัว ยืดหยุ่นน้อย อาจไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ แม้สอบเข้ายาก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอยากอยู่ต่อ

แม้สอบเข้าราชการจะยาก แต่ปี 2566 กลับมีคนรุ่นใหม่ลาออกกว่า 7,000 คน ตัวเลขนี้กำลังชี้ถึงปัญหาโครงสร้างในระบบที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่

ทำไมคนรุ่นใหม่ลาออกจากราชการ ทั้งที่มั่นคงและสอบเข้ายาก

โพสต์ของอดีตปลัดอำเภอรุ่น 2565 ที่เล่าถึงการตัดสินใจลาออกจากระบบราชการหลังทำงานเกือบสองปี กำลังถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ความจริงที่ว่าเขารู้ตัวตั้งแต่ 2 เดือนแรกว่า "นี่ไม่ใช่ที่ของเรา" ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบที่เคยถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง

เรื่องราวนี้ไม่ใช่เพียงกรณีเฉพาะ เมื่อข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในปีงบประมาณ 2566 เผยว่า ข้าราชการในห้ากระทรวงหลักลาออกจากระบบมากกว่า 7,000 คน จากจำนวนการสูญเสียทั้งหมดกว่า 15,000 คน เฉพาะกระทรวงสาธารณสุขเพียงแห่งเดียวมีผู้ลาออก 5,268 คน ซึ่งมากกว่าผู้เกษียณอายุในกระทรวงเดียวกันเกือบ 40%

ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงเป็นสถิติทางราชการ แต่กำลังเปิดเผยปรากฏการณ์ใหม่ที่ท้าทายความเข้าใจดั้งเดิมเกี่ยวกับงานราชการในสังคมไทย คำถามที่เกิดขึ้นคือ เหตุใดคนที่ผ่านการแข่งขันสูงและได้งานที่มั่นคงที่สุดในประเทศ จึงเลือกที่จะออกจากระบบ

ข้อจำกัดของระบบค่าตอบแทนที่เติบโตช้า

ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและภาคเอกชนปรับตัวตามกลไกตลาด ระบบราชการยังคงมีโครงสร้างค่าตอบแทนที่เคลื่อนไหวช้า เงินเดือนข้าราชการระดับเริ่มต้นเติบโตเพียงปีละเล็กน้อยตามขั้นบันได ขณะที่ภาคเอกชนสามารถให้โบนัสและปรับเงินเดือนได้อย่างยืดหยุ่น

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานพร้อมทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจส่วนตัว งานออนไลน์ หรือการเป็นฟรีแลนซ์กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเปิดช่องทางสร้างรายได้ที่หลากหลายและไม่จำกัดด้วยกรอบเดิม

ระบบความก้าวหน้าที่ยึดติดกับอายุงาน

โครงสร้างลำดับขั้นในระบบราชการไทยยังคงยึดโยงกับประสบการณ์และอายุงานเป็นหลัก การเลื่อนตำแหน่งมักขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการทำงานมากกว่าความสามารถหรือผลงาน สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และต้องการความท้าทายในการทำงาน ระบบนี้กลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้รู้สึกว่าอนาคตในสายงานไม่สามารถควบคุมได้

กรณีของอดีตปลัดอำเภอรุ่น 2565 ที่รู้ตัวตั้งแต่ 2 เดือนแรกของการทำงานว่า "นี่ไม่ใช่ที่ของเรา" หลังจากพยายามย้ายไปทำงานที่กระทรวงแต่ก็เจอปัญหาเดิม การขอย้ายเพื่อกลับสู่สายงาน "นักกฎหมาย" ไม่สำเร็จ ประกอบกับงานที่ยุ่งมากจนไม่สามารถศึกษาต่อชั้นปริญญาโทและเนติบัณฑิตเพื่อเตรียมสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาและอัยการผู้ช่วยได้ จนตัดสินใจลาออกหลังทำงานเกือบสองปีเพื่อเริ่มต้นใหม่ในตำแหน่งนิติกร เป็นตัวอย่างของความตึงตัวในระบบที่ไม่เปิดทางให้วางแผนอาชีพเฉพาะทาง

ความขาดยืดหยุ่นในกระบวนการทำงาน

ระบบราชการมีขั้นตอนและระเบียบที่ซับซ้อน การตัดสินใจต้องผ่านหลายระดับ และมักไม่เอื้อต่อการนำเสนอแนวคิดใหม่หรือการทดลองสิ่งที่แตกต่าง คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีและคุ้นเคยกับการทำงานแบบไร้ขอบเขต จึงรู้สึกอึดอัดกับระบบที่ต้องการความแน่นอนและการควบคุมแบบเดิม

ในขณะที่โลกภายนอกเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงและต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว ระบบราชการยังคงดำเนินงานด้วยกระบวนการที่ใช้เวลานานและมีการตรวจสอบหลายชั้น สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์จากการทำงานอย่างชัดเจนและรวดเร็ว ความล่าช้านี้กลายเป็นแหล่งของความไม่พอใจ

วัฒนธรรมองค์กรที่ยังไม่เข้าใจคนรุ่นใหม่

หลายหน่วยงานราชการยังคงมีวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นการเสียสละและความทุ่มเทโดยไม่คำนึงถึงสมดุลชีวิต บรรยากาศการทำงานที่มีการใช้อำนาจแบบเหนือ-ใต้อย่างเข้มงวด หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เปิดรับความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชา ส่งผลต่อสุขภาพจิตของพนักงาน

ในสายงานหลัก เช่น แพทย์และครู ภาระงานที่หนักเกินกำลังและขาดแรงสนับสนุนที่เหมาะสม ทำให้เกิดความเครียดสะสมและความรู้สึกหมดไฟ ผลสำรวจความคิดเห็นของแพทย์ในระบบสาธารณสุขพบว่า 80% มีความคิดจะลาออกจากราชการ โดยสาเหตุหลักคือภาระงานหนักและค่าตอบแทนที่ไม่จูงใจ

ปัญหาสุขภาพจิตที่ระบบไม่พร้อมรับมือ

ภายใต้ระบบที่เน้นประสิทธิภาพเชิงคำสั่งและการประเมินผลแบบตายตัว ปัญหาสุขภาพจิตของข้าราชการกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึง ความเครียดสะสม ความรู้สึกหมดไฟ และภาวะซึมเศร้าพบได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ไม่มีพื้นที่พักใจหรือระบายความรู้สึก

หลายหน่วยงานยังไม่มีระบบคัดกรองภาวะทางอารมณ์ ไม่มีทีมสนับสนุนด้านจิตวิทยาองค์กร และไม่มีมาตรการป้องกันเชิงรุกเพื่อดูแลสุขภาพจิตของบุคลากร ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตถูกปล่อยให้รับมือเพียงลำพัง จนอาจต้องลาออกหรือไม่สามารถกลับมาทำงานได้

แม้มติคณะรัฐมนตรีกลางปี 2566 จะยกเลิก "โรคจิต" และ "โรคอารมณ์ผิดปกติ" ออกจากบัญชีโรคต้องห้ามในการรับราชการ แต่คำถามที่ตามมาคือระบบมีเครื่องมือเพียงพอหรือยัง หากเจ้าหน้าที่เริ่มมีอาการในระหว่างปฏิบัติงาน

ทางเลือกใหม่ในยุคดิจิทัล

คนรุ่นใหม่เติบโตมากับโลกที่เปิดกว้างและมีช่องทางสร้างรายได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับงานเดียวตลอดชีวิต การเป็นผู้ประกอบการ การทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศ หรือการเลือกสายงานที่ให้เวลาส่วนตัวมากกว่า กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้คนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ สร้างธุรกิจออนไลน์ หรือใช้ทักษะเฉพาะทางสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ความยืดหยุ่นและการควบคุมทิศทางชีวิตด้วยตนเองกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าความมั่นคงแบบเดิม

ความโปร่งใสที่ยังขาดหายไป

กระบวนการเลื่อนตำแหน่งและการสรรหาในระบบราชการบางครั้งยังขาดความโปร่งใส มีข้อจำกัดที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกไม่มั่นใจในความยุติธรรมของระบบ การที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวกับความสามารถอาจมีผลต่อการเติบโตในงาน ทำให้เกิดความท้อแท้และการสูญเสียความเชื่อมั่น

การตัดสินใจที่ไม่ใช่ความใจร้อน

สำหรับหลายคนที่มีเป้าหมายในสายอาชีพเฉพาะทาง เช่น ผู้ช่วยผู้พิพากษา อัยการ หรือเนติบัณฑิต งานราชการเป็นเพียงเวทีเรียนรู้เพื่อไปต่อ แต่ภาระงานที่ไม่มีวันสิ้นสุดทำให้ไม่มีเวลาเตรียมตัว อีกทั้งระบบการย้ายสายงานที่ซับซ้อนและมักไม่สำเร็จตามที่คาดหวัง การตัดสินใจลาออกของกลุ่มนี้จึงไม่ได้เกิดจากความใจร้อน แต่เป็นการยอมรับว่าหากอยู่ต่อไป อาจต้องแลกด้วยโอกาสในระยะยาวของชีวิต

การเลือกเส้นทางที่สอดคล้องกับตนเอง

การลาออกของข้าราชการรุ่นใหม่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่เห็นคุณค่าของการรับใช้ประเทศชาติ แต่เป็นการเลือกเส้นทางที่สอดคล้องกับชีวิตตัวเองมากกว่า บางคนเปลี่ยนไปทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ บางคนเลือกสายงานที่ให้เวลาครอบครัวมากขึ้น หรือบางคนเลือกเป็นฟรีแลนซ์เพื่อควบคุมทิศทางชีวิตด้วยตนเอง

สิ่งสำคัญคือพวกเขาไม่ได้หนีจากภารกิจเพื่อสังคม แต่กำลังเลือกบริบทที่เอื้อให้สามารถทุ่มเทได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน


ปรากฏการณ์การลาออกของคนรุ่นใหม่ไม่ควรถูกมองเป็นการโจมตีระบบราชการ แต่เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีค่าเกี่ยวกับความต้องการของคนทำงานยุคใหม่ ระบบราชการไทยมีจุดแข็งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง สวัสดิการที่ครอบคลุม และโอกาสในการรับใช้สังคมอย่างตรงไปตรงมา สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นแรงดึงดูดสำคัญสำหรับหลายคน

ในขณะเดียวกัน ตัวเลขการลาออกที่เพิ่มขึ้นเป็นโอกาสให้ระบบได้พิจารณาปรับปรุงในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรองรับความหลากหลายของคนทำงานได้มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนอยู่ แต่เพื่อให้คนที่เหมาะสมและมีใจรักในการรับใช้สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปอาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงของระบบและความยืดหยุ่นที่คนรุ่นใหม่ต้องการ

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN / Getty Images

บรรณาธิการออนไลน์