ทำไมน้ำท่วมแม่สายทุกปี? เจาะลึกต้นเหตุ-โคลนถล่มชายแดน

ทำไมน้ำท่วมแม่สายทุกปี? เจาะลึกต้นเหตุ-โคลนถล่มชายแดน

น้ำท่วมแม่สายเกิดขึ้นแทบทุกปี ไม่ใช่แค่เพราะฝนตกหนัก แต่เกี่ยวพันทั้งป่าไม้ฝั่งเมียนมา การถมเมือง โคลนตะกอน และภูมิประเทศที่รับน้ำจากหุบเขาโดยตรง


วิกฤตน้ำท่วมแม่สายปี 2568 ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่รุนแรงขึ้น

ในปี 2568 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ติดต่อกันถึง 2 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน โดยเริ่มจากฝนตกหนักในปลายเดือนเมษายนที่ทำให้เกิดน้ำหลากจากฝั่งเมียนมา ก่อนจะมีน้ำท่วมซ้ำอีกครั้งในปลายเดือนพฤษภาคม จนนำมาสู่คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งอย่างจริงจังว่า “ทำไมน้ำท่วมแม่สายทุกปี?”

สรุปข่าว

น้ำท่วมแม่สายเกิดซ้ำทุกปีไม่ใช่แค่เพราะฝนตกหนัก แต่เกี่ยวพันกับพื้นที่ต้นน้ำฝั่งเมียนมาที่เปลี่ยนสภาพ ระบบระบายน้ำที่ตื้นเขิน และการขยายตัวของเมืองโดยไร้แผนรับน้ำ รัฐจึงต้องจัดการทั้งต้นทาง กลางน้ำ และปลายน้ำร่วมกัน

น้ำท่วมแม่สายเกิดขึ้นแทบทุกปี ไม่ใช่แค่เพราะฝนตกหนัก แต่เกี่ยวพันทั้งป่าไม้ฝั่งเมียนมา การถมเมือง โคลนตะกอน และภูมิประเทศที่รับน้ำจากหุบเขาโดยตรง


วิกฤตน้ำท่วมแม่สายปี 2568 ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่รุนแรงขึ้น

ในปี 2568 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ติดต่อกันถึง 2 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน โดยเริ่มจากฝนตกหนักในปลายเดือนเมษายนที่ทำให้เกิดน้ำหลากจากฝั่งเมียนมา ก่อนจะมีน้ำท่วมซ้ำอีกครั้งในปลายเดือนพฤษภาคม จนนำมาสู่คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งอย่างจริงจังว่า “ทำไมน้ำท่วมแม่สายทุกปี?”

ลักษณะภูมิประเทศที่เปิดทางให้น้ำหลาก

คำตอบเริ่มจากแผนที่ แม่สายตั้งอยู่ในพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา โดยมีแม่น้ำสายไหลผ่านกลางเมือง แม่น้ำสายนี้มีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมาถึง 80% ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่ฝั่งเมียนมามีฝนตกหนัก พื้นที่ชายแดนไทยจะเป็นจุดรับน้ำสายแรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม่น้ำสายยังเชื่อมกับแม่น้ำรวก ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง หากระดับน้ำในแม่น้ำโขงสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ก็จะส่งผลให้แม่น้ำสายระบายน้ำได้ช้าลง เกิดน้ำเอ่อล้นและท่วมขังในเขตเมืองแม่สาย

ฝนตกหนักไม่ใช่ปัญหาเดียว ต้นน้ำเปลี่ยนสภาพต่างหากที่น่ากังวล

สิ่งที่ทำให้ฝนธรรมดากลายเป็นน้ำท่วมฉับพลัน ก็คือการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้นน้ำในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะบริเวณภูเขาทางตอนเหนือของแม่น้ำสาย ซึ่งเดิมเคยเป็นป่าไม้ธรรมชาติ แต่ถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและเหมืองแร่

เมื่อป่าไม้หายไป ความสามารถในการซับน้ำของดินก็ลดลงทันที ฝนที่ตกหนักจึงไม่ถูกดูดซึมแต่กลายเป็นน้ำไหลบ่า หน้าดินที่ไร้รากไม้ค้ำยันถูกชะล้างอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดโคลนถล่มและตะกอนดินปริมาณมหาศาลที่ไหลลงสู่แม่น้ำสาย

จากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA พบร่องรอยการพังทลายของหน้าดินขนาดใหญ่ ความกว้างหลายสิบเมตรในภูเขาฝั่งเมียนมา บ่งชี้ถึงความรุนแรงของกระบวนการนี้

ตะกอนโคลน-ขอนไม้-ขยะ ทำให้แม่น้ำตื้นและไหลไม่ทัน

เมื่อหน้าดินไหลลงแม่น้ำสายจำนวนมาก จะทำให้แม่น้ำตื้นเขินขึ้นทุกปี และไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน โดยเฉพาะในช่วงพีกของฝนฤดูมรสุม ที่สำคัญคือโคลน น้ำ และเศษซากไม้ยังไหลทะลักเข้าพื้นที่ชุมชนอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายต่อทั้งบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน

หลายชุมชนในแม่สาย เช่น ชุมชนเกาะทราย และไม้ลุงขน เผชิญกับตะกอนโคลนท่วมสูงกว่าหนึ่งเมตรในบางจุด ต้องใช้เวลาหลายวันในการฟื้นฟูและเปิดเส้นทางสัญจรอีกครั้ง

เมืองขยาย ทางน้ำแคบ ระบบระบายน้ำรับไม่ไหว

อีกหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้น้ำท่วมรุนแรงขึ้น คือการขยายตัวของเมืองแม่สายและท่าขี้เหล็ก พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติจำนวนมากถูกแทนที่ด้วยถนน อาคารพาณิชย์ และสิ่งปลูกสร้างตลอดแนวชายแดน แม้การพัฒนาเศรษฐกิจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากไม่มีแผนผังเมืองที่รองรับการระบายน้ำ ผลที่ตามมาคือเมืองจะกลายเป็นอ่างรับน้ำที่ระบายไม่ทันในทุกฤดูฝน

ความพยายามของรัฐ กับโจทย์ที่ใหญ่กว่าทรายถม

หน่วยงานท้องถิ่นพยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขุดลอกแม่น้ำสาย เสริมพนังกั้นน้ำ และเตรียมแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง แต่ความท้าทายหลักยังคงอยู่ที่ต้นน้ำฝั่งเมียนมา ซึ่งไทยไม่สามารถควบคุมโดยตรงได้

นักวิชาการบางรายเสนอว่า ควรมีระบบความร่วมมือระดับชายแดน เช่น การแจ้งเตือนฝนตกหนักล่วงหน้า การจำกัดการถางป่า และมาตรการควบคุมเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ เพื่อชะลอกระแสน้ำตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่รอแก้ปัญหาเฉพาะปลายน้ำที่แม่สายเพียงอย่างเดียว

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : เทศบาลตำบลแม่สาย

บรรณาธิการออนไลน์