งบปี 69 ใช้ยังไง? เปิดรายการลงทุนหลักของรัฐบาล ดัน ศก.-ฝ่าวิกฤตโลก

งบปี 69 ใช้ยังไง? เปิดรายการลงทุนหลักของรัฐบาล ดัน ศก.-ฝ่าวิกฤตโลก

ภารกิจใหญ่ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยแผนการใช้จ่ายงบประมาณแห่งชาติสำหรับปีงบประมาณ 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ด้วยวงเงินรวม 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเสนองบประมาณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

การเสนองบประมาณครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนในภาคเกษตร ทำให้รัฐบาลต้องปรับกลยุทธ์การบริหารงบประมาณให้รองรับความท้าทายเหล่านี้

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ต้องเผชิญความเสี่ยง

ตามรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3-3.3 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่ยังคงเป็นความกังวลได้แก่ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว สำหรับปี 2569 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3-3.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ฐานะการคลังที่ยังมีพื้นที่ดำเนินการ

หนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 12,080,809.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 252,124.8 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะบริหารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด



สรุปข่าว

แพทองธาร ชินวัตร เสนองบ 3.78 ล้านล้านบาทต่อสภา หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 69 รับมือความเสี่ยงจากโลกภายนอก พร้อมเน้นลงทุน ความมั่นคง และซอฟต์พาวเวอร์ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ภารกิจใหญ่ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยแผนการใช้จ่ายงบประมาณแห่งชาติสำหรับปีงบประมาณ 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ด้วยวงเงินรวม 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเสนองบประมาณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

การเสนองบประมาณครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนในภาคเกษตร ทำให้รัฐบาลต้องปรับกลยุทธ์การบริหารงบประมาณให้รองรับความท้าทายเหล่านี้

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ต้องเผชิญความเสี่ยง

ตามรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3-3.3 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่ยังคงเป็นความกังวลได้แก่ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว สำหรับปี 2569 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3-3.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ฐานะการคลังที่ยังมีพื้นที่ดำเนินการ

หนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 12,080,809.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 252,124.8 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะบริหารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด



นโยบายการเงินที่ปรับตัวรองรับสถานการณ์

เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ และภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 1.75 ต่อปีในการประชุมเดือนเมษายน 2568

มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ 237,045.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2.4 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและเป็นหลักประกันสำคัญในการรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

โครงสร้างงบประมาณที่เน้นการขาดดุลเชิงกลยุทธ์

ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากรสุทธิ การขายสิ่งของและบริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่นรวมทั้งสิ้น 3,061,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปีก่อน

หลังจากหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 141,000 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิ 2,920,600 ล้านบาท รัฐบาลจึงกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 860,000 ล้านบาท ทำให้มีรายรับทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย

การจัดสรรงบประมาณตามโครงสร้างใหม่

งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ถูกจำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 2,652,301.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 70.2 รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.3 รายจ่ายลงทุน 864,077.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.9 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 151,200 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.0

การจัดสรรตามกลุ่มงบประมาณแบ่งออกเป็น 7 หมวดหลัก โดยงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณมีสัดส่วนสูงสุดที่ 1,408,060.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.2 ตามด้วยงบประมาณรายจ่ายบุคลากร 820,820.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.7 และงบประมาณรายจ่ายงบกลาง 632,968.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.7

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงในยุคใหม่

รัฐบาลจัดสรรงบประมาณด้านความมั่นคง 415,327.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.0 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาความมั่นคงของประเทศในทุกมิติ ตั้งแต่การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยงบประมาณ 1,475.0 ล้านบาท การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 5,418.3 ล้านบาท และการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด 5,462.3 ล้านบาท

งบประมาณส่วนใหญ่ในยุทธศาสตร์นี้ถูกจัดสรรให้กับการรักษาความสงบภายในประเทศและการพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ 92,519.9 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงในสถานการณ์ปัจจุบัน

การสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่ออนาคต

ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 394,611.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.5 เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน

โครงการสำคัญในยุทธศาสตร์นี้ได้แก่ การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ที่ได้รับงบประมาณสูงสุด 211,963.0 ล้านบาท การเกษตรสร้างมูลค่า 35,054.9 ล้านบาท และการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม 19,828.3 ล้านบาท

การจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 8,075.1 ล้านบาท และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 8,341.1 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในหลายมิติ

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญ

ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 605,927.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.0 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับสองรองจากยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม

งบประมาณส่วนใหญ่ในยุทธศาสตร์นี้เป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ 429,714.0 ล้านบาท ตามด้วยการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การเรียนรู้ และศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต 73,531.1 ล้านบาท และการเสริมสร้างให้คนมีสุขภาวะที่ดี 71,868.0 ล้านบาท

การลดความเหลื่อมล้ำเป็นเป้าหมายหลัก

ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 942,709.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.9 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับงบประมาณ 380,144.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่มีวงเงินสูงสุดในยุทธศาสตร์นี้ ตามด้วยการสร้างหลักประกันและพลังทางสังคม 407,119.0 ล้านบาท และการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและสังคม 101,641.2 ล้านบาท

การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม

ยุทธศาสตร์การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับการจัดสรร 147,216.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.9 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 107,485.7 ล้านบาท

โครงการสำคัญอื่นๆ ในยุทธศาสตร์นี้ ได้แก่ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 7,660.9 ล้านบาท การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ 2,368.3 ล้านบาท และการจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม 1,144.2 ล้านบาท

การปฏิรูปภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล

ยุทธศาสตร์การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐได้รับการจัดสรรงบประมาณ 605,441.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.0 เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง

การสนับสนุนด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐได้รับงบประมาณสูงสุด 408,337.7 ล้านบาท ตามด้วยการพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 17,881.0 ล้านบาท และรัฐบาลดิจิทัล 6,921.7 ล้านบาท

การเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน

รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินและการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐรวม 669,365.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.7 ของวงเงินงบประมาณ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

การบริหารจัดการหนี้ภาครัฐได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 421,864.4 ล้านบาท เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541.1 ล้านบาท และแผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 123,960.0 ล้านบาท

มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรม

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

การดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ประเทศสามารถผ่านพ้นช่วงความท้าทายทางเศรษฐกิจ และสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาในระยะยาว

งบประมาณปี 2569 จึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมสำหรับประชาชนทุกคน

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์