เลิกกั๊ก แล้วใส่ถุงยางก่อน เมื่อซิฟิลิส-หนองใน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่เคยหายไป แต่ระบาดซ้ำ ยอดติดเชื้อเพิ่ม

ซิฟิลิส โรคหนองใน และ HIV เราอาจคิดว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พวกนี้หายไปแล้ว แต่ความจริงคือ มันไม่เคยหายไป และกำลังระบาดหนักโดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในแต่ละปี
กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 คือเดือนต.ค.-มี.ค.ปี 2568 (6 เดือน) พบผู้ป่วยสะสมซิฟิลิสแล้ว 13,708 ราย อัตราป่วย 21.1 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 5 ราย
ซึ่งหากย้อนไปดูสถิติ 8 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดเลยว่า ยอดผู้ติดเชื้อซิฟิลิสนั้น เพิ่มขึ้นทุกปี และอัตราป่วยต่อประชาการก็มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
จำนวนผู้ติดเชื้อซิฟิลิสปี 2560-2568
ปีงบประมาณ | จำนวนผู้ป่วย | อัตราป่วยต่อแสนประชากร |
2560 | 5,344 คน | 8.2 |
2561 | 7,814 คน | 11.95 |
2562 | 9,199 คน | 14.03 |
2563 | 11,360 คน | 17.36 |
2564 | 10,297 คน | 15.7 |
2565 | 12,296 คน | 18.6 |
2566 | 18,599 คน | 28.1 |
2567 | 25,469 คน | 38.5 |
2568 (Q1-Q2) | 13,708 คน (ครึ่งปี) | 21.1 (ครึ่งปี) |
ทั้งหากไปดูตัวเลขย้อนหลังผู้ป่วยซิฟิลิส จะเห็นกราฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง โดยตัวเลขผู้ป่วยในไทยเพิ่มขึ้นจากแค่ 5,000 กว่าคนในปี 2560 เป็น กว่า 25,000 คนในปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าในเวลา 7 ปี โดยเพิ่มแบบก้าวกระโดด: ช่วงปี 2565-2567 มีอัตราการเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในปี 2566–2567 ที่เพิ่มกว่า 7,000 รายภายในปีเดียว
ทั้งเมื่อย้อนกลับไปอีกในช่วงปี 2551 นั้น โรคซิฟิลิสในไทย มีอัตราผู้ติดเชื้อเพียง 2.1 ต่อ ประชาการแสนคนแต่ในปี 2567 อัตรานี้กลับเพิ่มเป็น 38.5 ต่อแสนประชากร แปลว่าในรอบ 16 ปี อัตราการติดเชื้อซิฟิลิสในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่า
ปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มต่อ แม้จะเป็นแค่ไตรมาส 1–2 แต่จำนวนผู้ป่วยเกินครึ่งของปี 2567 แล้ว แสดงแนวโน้มว่าอาจเกิน 27,000 รายภายในสิ้นปี
นอกจากซิฟิลิสแล้ว โรคติดต่อทางเพศอย่างหนองใน ที่เคยมีจำนวนลดลงไปแล้ว ก็กลับเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ด้วย
จำนวนผู้ป่วยโรคหนองใน ปี 2560–2568
ปีงบประมาณ | จำนวนผู้ป่วย | อัตราป่วยต่อแสนประชากร |
2560 | 10,301 คน | 15.8 |
2561 | 9,999 คน | 15.29 |
2562 | 9,601 คน | 14.65 |
2563 | 7,793 คน | 11.91 |
2564 | 5,434 คน | 8.33 |
2565 | 5,625 คน | 8.5 |
2566 | 11,397 คน | 17.2 |
2567 | 15,109 คน | 22.8 |
2568 (Q1–Q2) | 7,650 คน (ครึ่งปี) | 11.8 (ครึ่งปี) |
ช่วงปี 2566–2567 กลับมาพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแบบ ก้าวกระโดด (มากกว่า 2 เท่า) ภายใน 2 ปี และในปี 2568 (ครึ่งปี) ผู้ป่วยอยู่ที่ 7,650 ราย ซึ่งใกล้เคียงกับยอดรวมของทั้งปีในช่วงก่อนหน้านี้ (2563–2565) — คาดว่าหากแนวโน้มคงที่ อาจจบปีด้วยตัวเลขราว 15,000 รายขึ้นไป
ไม่เพียงแค่ 2 โรคนี้เท่านั้น แพทย์ยังเตือนถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่าง หนองในเทียม แผลริมอ่อน กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือ
ซึ่งรวมแล้ว 5 โรคที่เรียกว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก พบจำนวนผู้ป่วยไตรมาส 2 สะสมอยู่ที่ 25,345 ราย
รวมไปถึง HIV ที่แม้ที่ผ่านมาจะมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลง แต่ช่วงไตรมาส 2 ก็พบผู้ติดเชื้อใหม่ 10,931ราย แล้ว และมีผู้ติดเชื้อสะสม ณ ปี 2568 ที่ประมาณ 568,565 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงภาระทางสาธารณสุขที่ยังคงมีอยู่ และความจำเป็นในการดำเนินมาตรการป้องกันและรักษาอย่างต่อเนื่อง
โดยจังหวัดที่น่ากังวลเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากที่สุดในตอนนี้ ได้แก่
กรุงเทพฯ, ชลบุรี, เชียงใหม่ และนครราชสีมา
ขณะที่ จังหวัดมหาสารคาม ก็ได้มีการรายงานการพบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จำนวน 443 ราย ในปี 2568 และพบผู้ป่วยหลายเคสในช่วงเวลาติดๆ กัน ซึ่งก็ถือเป็นสถานการณ์ที่มีแนวโน้มการติดเชื้อที่สูงขึ้น จากที่แต่ละปีจะพบผู้ป่วยเฉลี่ยประมาณ 400-500 ราย
สรุปข่าว
ซิฟิลิส โรคหนองใน และ HIV เราอาจคิดว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พวกนี้หายไปแล้ว แต่ความจริงคือ มันไม่เคยหายไป และกำลังระบาดหนักโดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในแต่ละปี
กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 คือเดือนต.ค.-มี.ค.ปี 2568 (6 เดือน) พบผู้ป่วยสะสมซิฟิลิสแล้ว 13,708 ราย อัตราป่วย 21.1 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 5 ราย
ซึ่งหากย้อนไปดูสถิติ 8 ปีที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดเลยว่า ยอดผู้ติดเชื้อซิฟิลิสนั้น เพิ่มขึ้นทุกปี และอัตราป่วยต่อประชาการก็มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
จำนวนผู้ติดเชื้อซิฟิลิสปี 2560-2568
ปีงบประมาณ | จำนวนผู้ป่วย | อัตราป่วยต่อแสนประชากร |
2560 | 5,344 คน | 8.2 |
2561 | 7,814 คน | 11.95 |
2562 | 9,199 คน | 14.03 |
2563 | 11,360 คน | 17.36 |
2564 | 10,297 คน | 15.7 |
2565 | 12,296 คน | 18.6 |
2566 | 18,599 คน | 28.1 |
2567 | 25,469 คน | 38.5 |
2568 (Q1-Q2) | 13,708 คน (ครึ่งปี) | 21.1 (ครึ่งปี) |
ทั้งหากไปดูตัวเลขย้อนหลังผู้ป่วยซิฟิลิส จะเห็นกราฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง โดยตัวเลขผู้ป่วยในไทยเพิ่มขึ้นจากแค่ 5,000 กว่าคนในปี 2560 เป็น กว่า 25,000 คนในปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าในเวลา 7 ปี โดยเพิ่มแบบก้าวกระโดด: ช่วงปี 2565-2567 มีอัตราการเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในปี 2566–2567 ที่เพิ่มกว่า 7,000 รายภายในปีเดียว
ทั้งเมื่อย้อนกลับไปอีกในช่วงปี 2551 นั้น โรคซิฟิลิสในไทย มีอัตราผู้ติดเชื้อเพียง 2.1 ต่อ ประชาการแสนคนแต่ในปี 2567 อัตรานี้กลับเพิ่มเป็น 38.5 ต่อแสนประชากร แปลว่าในรอบ 16 ปี อัตราการติดเชื้อซิฟิลิสในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่า
ปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มต่อ แม้จะเป็นแค่ไตรมาส 1–2 แต่จำนวนผู้ป่วยเกินครึ่งของปี 2567 แล้ว แสดงแนวโน้มว่าอาจเกิน 27,000 รายภายในสิ้นปี
นอกจากซิฟิลิสแล้ว โรคติดต่อทางเพศอย่างหนองใน ที่เคยมีจำนวนลดลงไปแล้ว ก็กลับเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ด้วย
จำนวนผู้ป่วยโรคหนองใน ปี 2560–2568
ปีงบประมาณ | จำนวนผู้ป่วย | อัตราป่วยต่อแสนประชากร |
2560 | 10,301 คน | 15.8 |
2561 | 9,999 คน | 15.29 |
2562 | 9,601 คน | 14.65 |
2563 | 7,793 คน | 11.91 |
2564 | 5,434 คน | 8.33 |
2565 | 5,625 คน | 8.5 |
2566 | 11,397 คน | 17.2 |
2567 | 15,109 คน | 22.8 |
2568 (Q1–Q2) | 7,650 คน (ครึ่งปี) | 11.8 (ครึ่งปี) |
ช่วงปี 2566–2567 กลับมาพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแบบ ก้าวกระโดด (มากกว่า 2 เท่า) ภายใน 2 ปี และในปี 2568 (ครึ่งปี) ผู้ป่วยอยู่ที่ 7,650 ราย ซึ่งใกล้เคียงกับยอดรวมของทั้งปีในช่วงก่อนหน้านี้ (2563–2565) — คาดว่าหากแนวโน้มคงที่ อาจจบปีด้วยตัวเลขราว 15,000 รายขึ้นไป
ไม่เพียงแค่ 2 โรคนี้เท่านั้น แพทย์ยังเตือนถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่าง หนองในเทียม แผลริมอ่อน กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือ
ซึ่งรวมแล้ว 5 โรคที่เรียกว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก พบจำนวนผู้ป่วยไตรมาส 2 สะสมอยู่ที่ 25,345 ราย
รวมไปถึง HIV ที่แม้ที่ผ่านมาจะมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลง แต่ช่วงไตรมาส 2 ก็พบผู้ติดเชื้อใหม่ 10,931ราย แล้ว และมีผู้ติดเชื้อสะสม ณ ปี 2568 ที่ประมาณ 568,565 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงภาระทางสาธารณสุขที่ยังคงมีอยู่ และความจำเป็นในการดำเนินมาตรการป้องกันและรักษาอย่างต่อเนื่อง
โดยจังหวัดที่น่ากังวลเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากที่สุดในตอนนี้ ได้แก่
กรุงเทพฯ, ชลบุรี, เชียงใหม่ และนครราชสีมา
ขณะที่ จังหวัดมหาสารคาม ก็ได้มีการรายงานการพบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จำนวน 443 ราย ในปี 2568 และพบผู้ป่วยหลายเคสในช่วงเวลาติดๆ กัน ซึ่งก็ถือเป็นสถานการณ์ที่มีแนวโน้มการติดเชื้อที่สูงขึ้น จากที่แต่ละปีจะพบผู้ป่วยเฉลี่ยประมาณ 400-500 ราย
เลิกกั๊ก และใส่ถุงยางก่อนนะวัยรุ่น
ในประเด็นนี้ นพ. วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ได้มีการแถลงและย้ำเตือนการเฝ้าระวังตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งสถิติพบผู้ป่วยในทุกกลุ่มช่วงอายุเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ซึ่งข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มประชากร แต่กลุ่มที่พบสูงสุดคือ เยาวชนตั้งแต่ช่วงอายุ 15-21 ปี โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
เช่นเดียวกันนั้น นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เองก็ได้ออกมาพูดถึงสาเหตุของโรคระบาดนี้ ซึ่งขณะนี้พบว่าอัตราการสวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นนั้นลดลงมาก อาจเพราะไม่ได้มีข่าวว่าพบผู้ป่วย คนเลยคิดว่าไม่มีโรคนี้แล้ว จึงไม่ได้ป้องกัน ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โรคซิฟิลิส โรคหนองใน พบสูงขึ้นมากในกลุ่มวัยรุ่นเยาวชน โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและโรคหนองใน อัตราเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยสูงถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับ 3-4 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้การศึกษายังพบพฤติกรรมเสี่ยง ของวัยรุ่นที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี เช่น พฤติกรรมการดื่มสุราและใช้สารเสพติดก่อให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยได้ง่ายมากขึ้น โดยวัยรุ่นเชื่อว่า การดื่มสุราและใช้สารเสพติดช่วยเพิ่มความสุขในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ได้ โดยการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้กระตุ้นอารมณ์ทางเพศของวัยรุ่นหญิงทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจขาดวิจารณญาณ ขาดการควบคุมสติ หรือถูกชักจูงให้มีเพศสัมพันธ์ได้ง่าย รวมถึงยังพบว่าพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง คือ ประสบการณ์ การมีเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์อายุยังน้อย มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่แฟน/คู่รัก เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลนี้ก็สอดคล้องกับรายงานผลการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ “พฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัย” ปี 2567 ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่พบว่า เพศเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อายุน้อยสุด 12 ปี และอายุระหว่าง 16-17 ปี และพบว่ากว่า 57.2% ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือใช้เพียงบางครั้ง ตอนมีเพศสัมพันธ์
ทั้งยังมีความรู้ผิดๆ เกี่ยวกับการเก็บถุงยางอนามัย เช่นการเก็บไว้ใต้เบาะรถ หรือในกระเป๋าตังค์ ซึ่งการเก็บใช้ถุงยางอนามัยที่ผิดวิธีนั้น ก็สุ่มเสี่ยงต่อประสิทธิภาพของถุงยางด้วย
ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันจึงไม่ใช่แค่ปัญหาแค่การเสี่ยงตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษายากหรืออันตรายถึงชีวิตได้ด้วย