ทลายมายาคติเรื่อง "มะเร็งเท่ากับตาย"

ทลายมายาคติเรื่อง "มะเร็งเท่ากับตาย"

เมื่อมะเร็งไม่ใช่คำตัดสิน แต่เป็นความท้าทายที่เอาชนะได้

ในสังคมไทยวันนี้ คำว่า "มะเร็ง" ยังคงทำให้หลายคนนึกถึงความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเชื่อดั้งเดิมนี้กำลังถูกท้าทายโดยความก้าวหน้าทางการแพทย์และมุมมองใหม่ของการรักษา เมื่อพิจารณาสถิติล่าสุดที่แสดงให้เห็นสถานการณ์ผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้จึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย


สรุปข่าว

ข้อมูลปี 2567 พบผู้ป่วยมะเร็งไทยใหม่กว่า 140,000 รายต่อปี เสียชีวิตกว่า 84,000 ราย แม้มะเร็งยังครองสาเหตุการตายอันดับต้น แต่เทคโนโลยีการรักษาและแนวคิดประคับประคองช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และบางรายหายขาดได้

เมื่อมะเร็งไม่ใช่คำตัดสิน แต่เป็นความท้าทายที่เอาชนะได้

ในสังคมไทยวันนี้ คำว่า "มะเร็ง" ยังคงทำให้หลายคนนึกถึงความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเชื่อดั้งเดิมนี้กำลังถูกท้าทายโดยความก้าวหน้าทางการแพทย์และมุมมองใหม่ของการรักษา เมื่อพิจารณาสถิติล่าสุดที่แสดงให้เห็นสถานการณ์ผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้จึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย


ตัวเลขที่เปิดเผยวิกฤตเงียบ

สถานการณ์มะเร็งในประเทศไทยปี 2567 เผยให้เห็นความรุนแรงของปัญหาสุขภาพที่สังคมกำลังเผชิญ ข้อมูลจากกรมการแพทย์และสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่ามีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่มากกว่า 140,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 381 คน ซึ่งหมายความว่าทุกชั่วโมงจะมีคนไทยประมาณ 16 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง

ตัวเลขที่น่าวิตกกว่านั้นคือจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 84,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 227 คน แม้อัตราการเสียชีวิตเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ป่วยรายใหม่จะดีขึ้นกว่าอดีต แต่ตัวเลขสัมบูรณ์ยังคงสูงพอที่จะทำให้มะเร็งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นของคนไทย

ลักษณะเฉพาะของมะเร็งในสังคมไทย

การวิเคราะห์ชนิดของมะเร็งที่พบในประชากรไทยเผยให้เห็นภาพของปัญหาสุขภาพที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต มะเร็งตับและท่อน้ำดีครองตำแหน่งอันดับหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทย รองลงมาคือมะเร็งปอด ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาการสูบบุหรี่และมลพิษทางอากาศที่ยังคงเป็นภัยคุกคามเงียบ

มะเร็งเต้านมอยู่ในอันดับสาม ซึ่งชี้ให้เห็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่มีต่อสุขภาพผู้หญิง ส่วนมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่ปิดท้ายห้าอันดับแรก ทั้งสองชนิดนี้เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันหรือตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้นหากมีการคัดกรองที่เหมาะสม

เมื่อแยกตามเพศ ผู้ชายไทยมีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งตับและท่อน้ำดีถึงร้อยละ 33.2 ตามด้วยมะเร็งปอดร้อยละ 22.8 ขณะที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงสุดกับมะเร็งเต้านมถึงร้อยละ 34.2 ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนากลยุทธ์การป้องกันและรักษาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

การทลายมายาคติเรื่อง "มะเร็งเท่ากับตาย" ความจริงที่สังคมต้องรู้

ภาพจำเก่าที่ฝังรากลึกในสังคมไทย

แม้ตัวเลขสถิติมะเร็งในประเทศไทยจะดูน่าเป็นห่วง แต่ความเข้าใจที่ว่า "มะเร็ง = ตาย" นั้นไม่ได้เป็นความจริงสำหรับทุกกรณีในยุคปัจจุบัน ความเชื่อนี้เป็นมรดกจากอดีตที่ถูกส่งต่อมาหลายชั่วอายุคน เกิดจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดเมื่อการรักษามะเร็งยังเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก

ในสังคมไทยเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งมักหมายถึงการรับฟัง "คำตัดสิน" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ครอบครัวหลายหมื่นครอบครัวได้สัมผัสกับความสูญเสียจากโรคนี้ ทำให้เกิดภาพจำที่ว่ามะเร็งคือโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าสืบต่อกันจากคุณปู่ คุณย่า พ่อ แม่ ไปยังลูกหลาน สร้างความกลัวและความสิ้นหวังที่ฝังลึกจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกของสังคม

สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นละคร หนัง หรือข่าวสาร ก็มักนำเสนอมะเร็งในแง่ลบ แสดงภาพของผู้ป่วยที่ทรมานและจากไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การนำเสนอแบบนี้เสริมสร้างความเชื่อเดิมให้แข็งแกร่งขึ้น จนกลายเป็นอคติที่ยากจะเปลี่ยนแปลง

ข้อจำกัดของการรักษาในอดีต

ความเชื่อที่ว่า "มะเร็งเท่ากับตาย" ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ในอดีต เทคโนโลยีการรักษามะเร็งมีข้อจำกัดมาก การผ่าตัดเป็นตัวเลือกหลัก และต้องทำในขอบเขตที่กว้างเพื่อให้แน่ใจว่าได้เซลล์มะเร็งหมด ผู้ป่วยมักต้องสูญเสียอวัยวะหรือส่วนของร่างกายไปจำนวนมาก

เคมีบำบัดในยุคแรกๆ มีผลข้างเคียงรุนแรงมาก ผู้ป่วยมักทรมานจากอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง และภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยที่ประสิทธิภาพการรักษายังไม่สูงมากนัก การรักษาด้วยรังสีก็มีข้อจำกัดในการควบคุมความแม่นยำ ทำให้เนื้อเยื่อปกติได้รับความเสียหายไปด้วย

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกคือการขาดระบบการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ มะเร็งส่วนใหญ่จึงถูกพบในระยะที่ลุกลามแล้ว การรักษาในระยะนี้มีความท้าทายสูงมาก และโอกาสความสำเร็จต่ำ ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งในอดีตสูงกว่าปัจจุบันมาก

การปฏิวัติทางการแพทย์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการรักษา

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทางการแพทย์ใน 20-30 ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่างสิ้นเชิง การค้นพบและพัฒนายาเป้าหมาย (Targeted Therapy) ได้ปฏิวัติวงการรักษามะเร็ง ยาเหล่านี้ไม่ได้โจมตีเซลล์ทุกตัวในร่างกายแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนเคมีบำบัดแบบเดิม แต่มุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนเฉพาะของเซลล์มะเร็ง

ยาต้านการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Anti-angiogenesis) ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหลอดเลือดมาเลี้ยงตัวเองได้ ยาต้าน HER2 สำหรับมะเร็งเต้านม ยาต้าน EGFR สำหรับมะเร็งปอด และยาต้าน BRAF สำหรับมะเร็งผิวหนัง ล้วนเป็นตัวอย่างของการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพสูง

การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมการรักษามะเร็งโดยสิ้นเชิง แทนที่จะโจมตีมะเร็งจากภายนอก วิธีนี้กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเองตื่นตัวและลุกขึ้นมาต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ยา Checkpoint Inhibitor เช่น Pembrolizumab และ Nivolumab ได้แสดงผลลัพธ์ที่น่าทึ่งในหลายชนิดของมะเร็ง

สถิติการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบันแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น (Stage I) มีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีมากกว่าร้อยละ 95 เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตที่อยู่ที่ประมาณร้อยละ 70-80

มะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้นมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีมากกว่าร้อยละ 90 มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะที่ยังไม่แพร่กระจายมีอัตราการรอดชีวิตเกือบร้อยละ 100 แม้กระทั่งมะเร็งปอดซึ่งเคยถือเป็นมะเร็งที่รักษายากที่สุด ก็มีอัตราการรอดชีวิตที่ดีขึ้นมากหากพบในระยะเริ่มต้น จากเดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 15-20 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50-60

การนิยามใหม่ของ "การหายขาด" และ "การควบคุมได้"

ในอดีต คำว่า "หายขาด" หมายถึงการกำจัดเซลล์มะเร็งออกจากร่างกายอย่างสิ้นเชิงและไม่มีการกลับเป็นซ้ำ แต่ปัจจุบันแพทย์เริ่มมองมะเร็งบางชนิดเป็นโรคเรื้อรัง (Chronic Disease) ที่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ

แนวคิด "Living with Cancer" หรือการอยู่ร่วมกับมะเร็งกำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ปกติเป็นเวลานานหลายปี หรือแม้กระทั่งหลายทศวรรษ โดยได้รับการรักษาเป็นระยะเพื่อควบคุมไม่ให้มะเร็งเติบโตหรือแพร่กระจาย

หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการรักษามะเร็งคือการตรวจพบในระยะเริ่มต้น เมื่อมะเร็งยังมีขนาดเล็ก ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง และยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โอกาสในการรักษาให้หายขาดจะสูงมาก

การผ่าตัดเอามะเร็งออกในระยะเริ่มต้นมักจะประสบความสำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องใช้การรักษาเสริมอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านมขนาดเล็กที่ยังไม่แพร่กระจาย การผ่าตัดเอาเนื้องอกออกและตรวจติดตามเป็นระยะอาจเพียงพอแล้ว

สถิติจากประเทศไทยเองก็แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชากรสูงอายุมากขึ้นและมีการตรวจพบที่ดีขึ้น แต่อัตราการเสียชีวิตเมื่อเทียบสัดส่วนกับจำนวนผู้ป่วยใหม่นั้นลดลงอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2567 มีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 140,000 คน และผู้เสียชีวิต 84,000 คน คิดเป็นอัตรา 60% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยใหม่อยู่ที่ประมาณ 70-80% การลดลงนี้แสดงให้เห็นว่าการรักษามะเร็งในประเทศไทยมีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง (Cancer Survivor) จำนวนมาก ทั้งที่หายขาดและที่ยังอยู่ในระหว่างการรักษา ผู้คนเหล่านี้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ทำงาน เลี้ยงครอบครัว เดินทาง และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม

หลายคนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น ผ่านการเล่าเรื่องราวของพวกเขาในสื่อต่างๆ การร่วมกิจกรรมการกุศล และการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ เรื่องราวของผู้รอดชีวิตเหล่านี้กำลังเปลี่ยนภาพลักษณ์ของมะเร็งในสังคมไทยอย่างช้าๆ แต่แน่นอน

ทิศทางอนาคตของการต่อสู้กับมะเร็งในไทย

องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 77 ภายในอีก 25 ปีข้างหน้า ความท้าทายนี้ต้องการการเตรียมความพร้อมอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การป้องกัน การคัดกรองเพื่อการตรวจพบเร็ว การรักษาที่ทันสมัย จนถึงการดูแลแบบประคับประคอง

สำหรับประเทศไทย ความสำเร็จในการจัดการกับปัญหามะเร็งขึ้นอยู่กับการสร้างความตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับการป้องกันและการตรวจสุขภาพเป็นประจำ รวมทั้งการพัฒนาการเข้าถึงบริการรักษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม

มะเร็งในปัจจุบันไม่ใช่คำตัดสินอีกต่อไป แต่เป็นความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยความรู้ เทคโนโลยี และการดูแลที่เหมาะสม หากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาที่เหมาะสม โอกาสหายขาดหรือมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นจะสูงขึ้นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงมุมมองนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้าใจและสามารถให้การสนับสนุนผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

บรรณาธิการออนไลน์