
ไขข้อกฎหมายและผลกระทบในชีวิตจริง
มติของแพทยสภาที่มีต่อแพทย์ 3 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการแพทย์และการเมืองไทย ไม่เพียงสะท้อนมาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพ แต่ยังเปิดคำถามใหม่ต่อระบบกฎหมาย และอำนาจรัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
สรุปข่าว
ไขข้อกฎหมายและผลกระทบในชีวิตจริง
มติของแพทยสภาที่มีต่อแพทย์ 3 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการแพทย์และการเมืองไทย ไม่เพียงสะท้อนมาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพ แต่ยังเปิดคำถามใหม่ต่อระบบกฎหมาย และอำนาจรัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อคำวินิจฉัยของแพทยสภาไม่จบแค่ในวงวิชาชีพ
การลงโทษแพทย์ 3 คนโดยแพทยสภา แบ่งเป็นว่ากล่าวตักเตือน 1 คน และพักใช้ใบอนุญาตอีก 2 คน คำวินิจฉัยนี้แม้มีลักษณะเป็นบทลงโทษทางจริยธรรม แต่ผลที่ตามมากลับส่งแรงกระเพื่อมในระดับนโยบายและกฎหมาย
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง อธิบายว่า การพักใช้ใบอนุญาตนั้นหมายความว่าแพทย์ไม่สามารถประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในช่วงเวลาที่กำหนด และถือเป็นข้อจำกัดทางสิทธิขั้นพื้นฐานของวิชาชีพ
โทษตักเตือน-พักใบอนุญาต มีผลมากกว่าที่คิด
ในระดับเบา การตักเตือนจะเป็นเพียงการบันทึกว่าแพทย์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่ยังคงตรวจรักษาได้ ขณะที่การพักใช้ใบอนุญาตเป็นระยะเวลา 3 หรือ 6 เดือน หมายความว่าบุคคลนั้นจะไม่มีสิทธิประกอบเวชกรรมในทุกสถานพยาบาล รวมถึงคลินิกส่วนตัว
สมชัยยังชี้ว่า แม้จะไม่สามารถตรวจรักษาได้ แต่หากแพทย์คนนั้นดำรงตำแหน่งผู้บริหารในโรงพยาบาล ก็ยังสามารถทำงานด้านบริหารและรับเงินเดือนได้ตามปกติ แต่จะไม่สามารถรับรายได้ที่เกี่ยวกับการตรวจหรือให้คำวินิจฉัยทางการแพทย์ได้ในช่วงที่ถูกพักใบอนุญาต
ไม่กระทบตำแหน่งอื่น หากอยู่นอกสายวิชาชีพแพทย์
อีกหนึ่งประเด็นที่สมชัยเน้นคือ การลงโทษทางจริยธรรมไม่มีผลผูกพันกับตำแหน่งอื่นที่ไม่ได้ใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เช่น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือที่ปรึกษาองค์กรต่าง ๆ เพราะไม่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการแพทย์โดยตรง
แพทย์ที่ถูกลงโทษยังสามารถประกอบอาชีพอื่นได้ตามปกติ เช่น ทำธุรกิจส่วนตัว หรือแม้แต่ขับแกร็บ ก็ไม่ถือว่าผิดเงื่อนไขของคำสั่งแพทยสภา
สิทธิอุทธรณ์ และความเป็นไปได้ของคดีอาญา
มติของแพทยสภาในฐานะ “คำสั่งทางปกครอง” เปิดช่องให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งมติอย่างเป็นทางการ โดยไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ภายในหน่วยงานก่อน
ที่สำคัญคือ สมชัยเตือนว่า การลงโทษทางจริยธรรมไม่ตัดสิทธิ์การดำเนินคดีอาญา หากพฤติกรรมของผู้ถูกลงโทษเข้าข่ายละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็อาจถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกและไล่ออกจากราชการได้
คดีชั้น 14 เชื่อมโยงมติแพทยสภากับกระบวนการยุติธรรม
คดีที่เป็นจุดเริ่มต้นของทั้งหมดนี้ คือกรณีการรักษานายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยแพทย์ 4 รายมีบทบาทในการดูแลและออกความเห็นทางการแพทย์ แพทยสภาพิจารณาแล้วพบว่า 3 รายมีความผิดต่างระดับ ส่วนอีก 1 รายไม่มีความผิด
มติลงโทษของแพทยสภาจึงอาจกลายเป็นหลักฐานสำคัญในคดีศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากพบว่าเอกสารหรือความเห็นทางการแพทย์ถูกนำไปใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการย้ายสถานะของผู้ต้องขังโดยไม่ชอบ อาจส่งผลกระทบต่อคำวินิจฉัยในคดีหลัก
บทบาทรัฐมนตรี และคำถามเรื่องอิสระขององค์กรวิชาชีพ
หลังมีมติดังกล่าว แพทยสภาได้นำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณา แต่ถูกยับยั้งโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ด้วยเหตุผลว่าโทษรุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม แพทยสภาได้กลับมาประชุมใหม่ และยืนยันมติเดิมด้วยเสียงข้างมากเกินสองในสาม ตามที่กฎหมายกำหนด
เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงวิชาชีพว่า องค์กรที่มีหน้าที่ดูแลมาตรฐานจริยธรรมควรมีอำนาจอิสระแค่ไหน และในทางกลับกัน ฝ่ายบริหารควรมีอำนาจมากเพียงใดในการชี้ขาดหรือแทรกแซงมติจากองค์กรวิชาชีพ
ทางแพทย์ ทางกฎหมาย และทางสังคม
กรณีแพทยสภาไม่ใช่แค่เรื่องของใบอนุญาตหรือจริยธรรม แต่เกี่ยวพันกับคำถามที่ลึกซึ้งกว่านั้นว่า เราจะจัดการความรับผิดชอบอย่างไรในระบบที่มีทั้งคน เจตนา และอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในที่สุด มติดังกล่าวอาจกลายเป็นบทพิสูจน์ว่าระบบควบคุมวิชาชีพไทยสามารถรักษาความเป็นอิสระได้หรือไม่ เมื่อคำตัดสินทางวิชาชีพต้องเข้าสู่สนามของกระบวนการยุติธรรมและการเมือง
บรรณาธิการออนไลน์