‘ไทย’ คือ ‘ทางรอด’ ของแรงงานกัมพูชา ฟันเฟืองสำคัญ หรือ ภาระทางเศรษฐกิจ

‘ไทย’ คือ ‘ทางรอด’ ของแรงงานกัมพูชา ฟันเฟืองสำคัญ หรือ ภาระทางเศรษฐกิจ

เมื่อกัมพูชาพึ่งพิงไทยเป็นที่หลบภัย จากสงครามสู่การแสวงหาเศรษฐกิจ

หากแรงงานกัมพูชากลับประเทศในวันเดียว ทั้งไทยและกัมพูชาจะรับมือได้หรือไม่ คำถามนี้เผยให้เห็นความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกันระหว่างสองประเทศ เมื่อกัมพูชาส่งแรงงานมาพึ่งพิงไทยในการหาเลี้ยงชีพ

ข้อมูลล่าสุดจากเดือนมิถุนายน 2568 ชี้ว่า มีแรงงานกัมพูชาที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายในไทยประมาณ 500,000 คน แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่า จำนวนแรงงานที่ลักลอบเข้ามาอาจสูงถึง 3 เท่า หรือมากกว่าหนึ่งล้านคน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาส่งแรงงานจำนวนมหาศาลมาพึ่งพิงไทยเป็นแหล่งงานและรายได้

สำหรับกัมพูชาแล้ว การส่งแรงงานมาไทยเป็นช่องทางสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจกัมพูชายังไม่สามารถรองรับแรงงานจำนวนมากได้ ขาดโอกาสงานและมีรายได้ต่ำ ทำให้ประชาชนหันมาพึ่งพิงไทยเป็นทางออกทางเศรษฐกิจ

การพึ่งพิงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แรงงานกัมพูชามาเองหรือถูกดึง

การเข้ามาของแรงงานกัมพูชามีสองรูปแบบหลัก แต่ทั้งสองรูปแบบล้วนแสดงให้เห็นการพึ่งพิงไทยของกัมพูชา แรกคือการเดินทางมาเองผ่านช่องทางไม่เป็นทางการ อาศัยเครือข่ายนายหน้าและแรงจูงใจด้านรายได้ที่สูงกว่าในประเทศตนเอง การเคลื่อนย้ายนี้เกิดจากปัจจัยผลักดันที่กัมพูชาไม่สามารถแก้ไขได้เอง

กัมพูชาเองยังไม่สามารถสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนได้เพียงพอ ทำให้ต้องพึ่งพิงไทยเป็นตลาดแรงงาน ในขณะที่ไทยต้องการแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง เกษตรกรรม และบริการ ความต้องการนี้ทำให้เกิดการดึงดูดแรงงานกัมพูชาเข้ามา

รูปแบบที่สองคือระบบการนำเข้าแรงงานตามข้อตกลง MOU ระหว่างสองประเทศ แม้จะเป็นการดำเนินการอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังคงเป็นการพึ่งพิงของกัมพูชาที่ต้องส่งแรงงานไปทำงานในไทย เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนงานและรายได้ในประเทศตนเอง

สรุปข่าว

แรงงานกัมพูชาขึ้นทะเบียนในไทยราว 5 แสนคน แต่แรงงานนอกระบบอีกจำนวนมากกลายเป็นภาระแฝง รัฐไทยต้องแบกรับหนี้ค่ารักษาพยาบาลกว่า 13,000 ล้านบาทใน 5 ปี สะท้อนปัญหาโครงสร้างที่ยังขาดความสมดุล

เมื่อกัมพูชาพึ่งพิงไทยเป็นที่หลบภัย จากสงครามสู่การแสวงหาเศรษฐกิจ

หากแรงงานกัมพูชากลับประเทศในวันเดียว ทั้งไทยและกัมพูชาจะรับมือได้หรือไม่ คำถามนี้เผยให้เห็นความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกันระหว่างสองประเทศ เมื่อกัมพูชาส่งแรงงานมาพึ่งพิงไทยในการหาเลี้ยงชีพ

ข้อมูลล่าสุดจากเดือนมิถุนายน 2568 ชี้ว่า มีแรงงานกัมพูชาที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายในไทยประมาณ 500,000 คน แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่า จำนวนแรงงานที่ลักลอบเข้ามาอาจสูงถึง 3 เท่า หรือมากกว่าหนึ่งล้านคน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาส่งแรงงานจำนวนมหาศาลมาพึ่งพิงไทยเป็นแหล่งงานและรายได้

สำหรับกัมพูชาแล้ว การส่งแรงงานมาไทยเป็นช่องทางสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจกัมพูชายังไม่สามารถรองรับแรงงานจำนวนมากได้ ขาดโอกาสงานและมีรายได้ต่ำ ทำให้ประชาชนหันมาพึ่งพิงไทยเป็นทางออกทางเศรษฐกิจ

การพึ่งพิงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แรงงานกัมพูชามาเองหรือถูกดึง

การเข้ามาของแรงงานกัมพูชามีสองรูปแบบหลัก แต่ทั้งสองรูปแบบล้วนแสดงให้เห็นการพึ่งพิงไทยของกัมพูชา แรกคือการเดินทางมาเองผ่านช่องทางไม่เป็นทางการ อาศัยเครือข่ายนายหน้าและแรงจูงใจด้านรายได้ที่สูงกว่าในประเทศตนเอง การเคลื่อนย้ายนี้เกิดจากปัจจัยผลักดันที่กัมพูชาไม่สามารถแก้ไขได้เอง

กัมพูชาเองยังไม่สามารถสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนได้เพียงพอ ทำให้ต้องพึ่งพิงไทยเป็นตลาดแรงงาน ในขณะที่ไทยต้องการแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง เกษตรกรรม และบริการ ความต้องการนี้ทำให้เกิดการดึงดูดแรงงานกัมพูชาเข้ามา

รูปแบบที่สองคือระบบการนำเข้าแรงงานตามข้อตกลง MOU ระหว่างสองประเทศ แม้จะเป็นการดำเนินการอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังคงเป็นการพึ่งพิงของกัมพูชาที่ต้องส่งแรงงานไปทำงานในไทย เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนงานและรายได้ในประเทศตนเอง

เมื่อแรงงานกลายเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจ

การศึกษาของธนาคารโลกชี้ให้เห็นว่า แรงงานข้ามชาติมีส่วนสนับสนุน GDP ของไทยอยู่ที่ 0.75-1% และหากแรงงานข้ามชาติทักษะต่ำเพิ่มขึ้น 10% จะช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ

แรงงานกัมพูชาเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในภาคส่วนที่แรงงานไทยไม่ต้องการทำหรือขาดแคลน โดยเฉพาะงานหนัก งานไร้ฝีมือในภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง เกษตรกรรม และบริการ การจ้างแรงงานเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนการผลิตและรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

ความเปราะบางของระบบ

การพึ่งพาแรงงานข้ามชาติสูงทำให้เกิดความเสี่ยงในหลายมิติ หากเกิดความตึงเครียดทางการเมืองหรือการปิดด่านชายแดน จะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจท้องถิ่นทันที

ปัญหาแรงงานผิดกฎหมายยังเป็นช่องทางให้เกิดปัญหาสังคมอื่นๆ เช่น การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการละเมิดสิทธิแรงงาน ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงโดยรวมของประเทศ

ภาระด้านสุขภาพ เมื่อกัมพูชาพึ่งพิงไทยเป็นที่หลบภัยทางการแพทย์

ไทยจัดระบบการดูแลรักษาพยาบาลสำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามชาติอย่างเป็นทางการ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก การมีระบบนี้แสดงให้เห็นว่าไทยกลายเป็นที่พึ่งพิงด้านสุขภาพของกัมพูชาด้วย

กลุ่มแรกคือบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ หรือบุคคลไร้รัฐ (กลุ่ม ท.99) ซึ่งมีผู้ขึ้นทะเบียนมากกว่า 720,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชาที่มาพึ่งพิงการรักษาในไทย ได้รับสิทธิรักษาผ่านกองทุนประกันสุขภาพบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ โดยไม่ต้องชำระเงินเอง

แรงงานกัมพูชาที่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายอยู่ภายใต้ระบบประกันสังคม โดยนายจ้างไทยต้องส่งเงินสมทบให้ ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมต้องซื้อประกันสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุข ในอัตรา 3,400-3,500 บาท คุ้มครอง 1 ปี 6 เดือน

ตัวเลขหนี้เสียที่เป็นภาระต่อระบบไทย

การเป็นที่พึ่งพิงด้านสุขภาพของกัมพูชาสร้างภาระให้กับระบบสาธารณสุขไทย โรงพยาบาลรัฐต้องแบกรับภาระหนี้เสียจากค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บไม่ได้จากแรงงานกัมพูชาที่ไม่มีสิทธิหรือไม่สามารถจ่ายได้ รวมเกือบ 13,000 ล้านบาทในรอบ 5 ปี

แรงงานกัมพูชาจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงสิทธิ เนื่องจากปัญหาด้านเอกสาร การรับรู้สิทธิ หรือความสามารถในการจ่ายค่าประกัน การเข้าถึงบริการสุขภาพยังมีข้อจำกัดจากปัจจัยด้านภาษา ความเข้าใจในระบบ และความกลัวการถูกจับกุมในกลุ่มที่ไม่มีเอกสาร

ไทยมีกรอบการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวที่ครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่สิทธิในการได้รับค่าแรงขั้นต่ำเทียบเท่าแรงงานไทย การประกันสังคม 7 กรณี และการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะกับแรงงานที่อยู่นอกระบบ

จากที่พักพิงสู่ปลายทางถาวร

ในอดีต ไทยเคยเป็นที่พักพิงของผู้อพยพกัมพูชาในยุคสงครามและความขัดแย้ง แต่ในปัจจุบัน บทบาทนี้เปลี่ยนไป ไทยกลายเป็นปลายทางหลักของแรงงานกัมพูชาเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ

ความสัมพันธ์นี้เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ขณะที่กัมพูชาเองก็ยังไม่สามารถรองรับแรงงานของตนได้หากต้องเดินทางกลับ

ทางออกในระยะยาว

การบริหารจัดการแรงงานกัมพูชาต้องมองในหลายมิติ ทั้งการพัฒนากลไกคุ้มครองแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และการลงทุนในการพัฒนาทักษะแรงงาน

สิ่งสำคัญคือการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติกับการป้องกันผลกระทบเชิงลบ เพื่อให้ความร่วมมือนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน

แรงงานกัมพูชาในไทยจึงเป็นทั้งน้ำหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่ขาดไม่ได้ และภาระในมิติความมั่นคงที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ การพัฒนานโยบายที่สมดุลและยั่งยืนจึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญในอนาคต

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN / Freepik

บรรณาธิการออนไลน์

แท็กบทความ